ในช่วงที่ผ่านมา ข่าวคราวครึกโครมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ก็คือเรื่องอาชญากรรมว่าด้วยการเข่นฆ่า และการหลอกลวงคดโกงกัน คู่ขนานไปกับเรื่องการชิงดีชิงเด่น ทะเลาะเบาะแว้ง ขัดแข้งขัดขากัน ของฝ่ายนักการเมืองและพรรคการเมืองกันอย่างถึงพริกถึงขิง ไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนพลเมืองแต่อย่างใด
ในเรื่องแรกของคดีอาชญากรรมต่างๆ ก็สะท้อนซึ่งความตกต่ำของจิตใจ และการใช้อารมณ์ชั่ววูบเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต ขาดการเอื้ออาทรต่อกัน ซึ่งก็น่าจะถึงเวลาที่สังคมไทย ที่จะต้องมีการทบทวนเรื่องนี้เพื่อส่งเสริมให้มีการเคารพในชีวิตและสิทธิของผู้อื่น โดยกระทรวงวัฒนธรรมและบรรดาผู้นำทางศาสนาต่างๆ จะต้องออกมารณรงค์กันอย่างต่อเนื่อง และในทุกระดับและแวดวงต่างๆ ของสังคม
ส่วนอีกเรื่อง คือแวดวงการเมืองที่ต่างสาละวนอยู่กับเรื่องของตนเอง ก็มีนัยว่าจะไม่มีเวลา แม้กระทั่งความคิดคำนึงที่จะต้องรับใช้ประชาชนพลเมือง เสมือนประชาชนพลเมืองกำลังถูกทอดทิ้งและมองข้ามไป ซึ่งการละเลยต่อการบริการรับใช้ประชาชนพลเมืองนั้น อาจจัดได้ว่าเป็นการประพฤติที่มิชอบอย่างหนึ่ง ซึ่งมิควรจะเป็นพฤติกรรมของแวดวงการเมือง ที่เริ่มต้นจากการปวารณาตนที่จะเข้ามารับใช้สังคม และประชาชนพลเมืองเป็นสำคัญ ภายใต้รูปการหรือสภาวการณ์เช่นนี้ ในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่งก็อดมิได้ที่จะมีความหวาดหวั่น วิตกกังวลต่ออนาคตของประเทศไทย ต่อความมั่นคงในชีวิตและความเจริญก้าวหน้าของพลเมืองไทยทุกคน ชีวิตดูไร้ทิศทางและขาดขวัญและกำลังใจ เพราะฝ่ายการเมืองที่ต้องรับผิดชอบกลับปล่อยปละละเลยไปเสียนี่
ฉะนั้น ประชาชนพลเมืองไทยก็จะต้องไม่อยู่นิ่งเฉย ควรจะออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายการเมืองทำงาน 2 อย่างควบคู่กันไปให้ได้ คืองานการเมืองของตัวเอง กับงานเพื่อบ้านเมือง หรือไม่ก็ต้องยุติ “การเล่นการเมือง” แล้วหันกลับมารับใช้ประชาชนตามคำมั่นสัญญา เพื่อมิให้ผิดศีล เพื่อมิให้ผิดอุดมการณ์ และมิให้ผิดต่อกฎเกณฑ์กติกาของบ้านเมือง
ทั้งนี้ ประเด็นที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาจน 8 ปีแล้ว ก็ควรจะตระหนักว่า ตัวเองนั้นกำลังเป็นปัญหาของบ้านเมือง เพราะความทะเยอทะยาน และการยึดติดอยู่กับอำนาจวาสนายังเข้มข้นอยู่ แต่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับตัวเอง ครอบครัว และประเทศชาติได้ ด้วยการบอกกับตนเองว่า “พอแล้ว” และตั้งสติ ตั้งมั่นให้ได้ว่า การทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง ก็คือการทำตนมิให้เป็นปัญหาต่อบ้านเมือง เมื่อคิดได้เช่นนี้ การอำลาจากเวทีการเมือง ก็จะเป็นไปได้อย่างสง่างาม และเปิดทางให้สังคมไทยปรับตัว และก้าวไปข้างหน้าต่อไปโดยไม่ต้องมาสะดุด
ในขณะเดียวกัน บรรดาหัวหน้าและพรรคการเมืองทั้งหลาย ก็ต้องเลิกทำตนเยี่ยงทารก งอแง จะเอาแต่ได้ โดยไม่เห็นแก่หน้า ความรู้สึกนึกคิด และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์และพลเมืองของปวงชนชาวไทย เรื่องการบ้านการเมืองมิใช่ของเล่นที่จะเอามาแต่ความสนุก ชิงไหวชิงพริบกัน เรื่องการบ้านการเมืองเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ที่มิมีผู้ใดจะละเมิดได้ อีกทั้งพฤติกรรมอันไม่ดีงามของฝ่ายการเมืองทั้งหลาย ที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของประชาชนนั้น ก็จะส่งผลให้เกิดการไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ และเป็นการทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย
ฝ่ายการเมืองก็จะเป็นได้แค่ ผู้อ้างความเป็นประชาธิปไตย แต่โดยแท้จริงแล้วกลับเป็นผู้บ่อนทำลายประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยเทียม หลอกลวง และลวงโลก มิใช่ประชาธิปไตยแท้ ก็สมควรที่จะคิดอ่านกลับตัวกลับใจเสียให้สอดคล้องเสีย มิฉะนั้นแล้วก็จะเกิดความคิดอ่านในสังคมไทยให้มีระบบการเมืองแบบกลุ่มเดียว พรรคเดียว หรือรวมศูนย์อำนาจ เพื่อให้มีเสถียรภาพ และสามารถรับใช้ประชาชนพลเมืองได้ดีกว่า ระบบเปิดของการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองก็จะเกิดขึ้น แล้วเมื่อนั้น ฝ่ายการเมืองที่แอบอ้างเรื่องความเป็นประชาธิปไตย จะมาร้องแรกแหกกระเชอก็ไม่ได้ เพราะมัวแต่ปฏิบัติตนอย่างไม่คู่ควรต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย จนชาวไทยเขาเอือมระอา
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี