เมื่อเวลา 15.30 น. ของวันที่ 23 ก.ย .2565 ที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น มีการประชุมพรรคภูมิใจไทยสัญจร ครั้งที่ 2/2565โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุขในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย พร้อมรัฐมนตรีของพรรค อาทิ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา รองหัวหน้าพรรค นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายสรอรรถกลิ่นประทุม ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทยนายศุภชัย ใจสมุทร สส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคพร้อมด้วย สส.ของพรรคทั่วประเทศ และบรรดาว่าที่ผู้สมัคร สส.เข้าร่วมอย่างคึกคัก อาทิ นายไชยชนก ชิดชอบบุตรชายนายเนวิน ชิดชอบ ว่าที่ผู้สมัคร สส.บุรีรัมย์ โดยมีประชาชนประมาณ 5,000 คน เข้าร่วมงาน ภายใต้มาตรการสาธารณสุขคุมเข้มโควิด-19
ไฮไลท์สำคัญของงานคือการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ขอนแก่น จำนวน 8 เขต จาก 11 เขต
ในงานมีการชูป้ายสนับสนุน “นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี” รวมถึงป้ายนโยบายของพรรค เช่น นโยบายกัญชาเสรี นโยบายปลดหนี้ กยศ. ตลอดทั้งงานด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อนายอนุทิน มาถึงมีวงกลองยาวต้อนรับ โดยนายอนุทินได้ร่วมตีฉาบและฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน พร้อมถ่ายภาพเซลฟี่อย่างเป็นกันเองกับประชาชนที่มาร่วมงาน
จากนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวตอนหนึ่งบนเวทีปราศรัยว่า พรรคภูมิใจไทยพร้อมเป็นผู้แทนของคนไทยทุกคน วันนี้เรามา จ.ขอนแก่น เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน และมาประชุมพรรคเพื่อรับฟังปัญหาประชาชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไข เพราะเราเป็นพรรคพูดแล้วทำ ทุกพรรคพูดกับพี่น้องประชาชนว่าจะนำความเจริญ นำความเปลี่ยนแปลงมาให้ แต่ต้องพิสูจน์ด้วยการพูดแล้วทำ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยมั่นใจว่าเป็นพรรคเดียวที่พูดแล้วทำทันที ส่วนจะทำได้แค่ไหนขึ้นอยู่ที่พี่น้องชาวขอนแก่น ถ้าอยากให้พรรคพูดแล้วทำให้ จ.ขอนแก่น ขอให้เลือกพรรคเยอะๆ พี่น้องประชาชนต้องตัดสินใจ ให้แม่น ให้ถูก เพื่อจะได้พรรคที่เข้าใจ เห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชน
นายอนุทินกล่าวด้วยว่า ตอนเราตั้งพรรคใหม่ เราไม่ได้มีสส.เยอะขนาดนี้ ยังไม่ได้รับความไว้วางใจ แต่พอเราได้รับเลือกเข้ามาทีละน้อยๆ เราทำงานตอบแทนประชาชนทำตามสัญญา พี่น้องประชาชนจึงให้ความมั่นใจพรรคภูมิใจไทยมากขึ้น เราเริ่มจากพรรคบุรีรัมย์ ที่มี สส.เพียง จ.บุรีรัมย์ แต่เราทำงานไม่ท้อถอย คนจังหวัดอื่นๆ เริ่มเห็น จึงให้การสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยบ้าง เราจึงเริ่มมีสส.จังหวัดใกล้เคียง กระทั่งวันนี้เรามีสส.ทั้งภาคอีสาน แต่วันนี้เรามี สส.ทุกภาค เพราะเราเป็นพรรคของคนไทยทุกคน
“พรรคภูมิใจไทยถึงอย่างไรก็ไม่ลืมกำพืด ว่าเกิดบนแผ่นดินอีสาน ทำให้พรรคได้มีบุญวาสนาไปทำงานให้ภาคอื่นๆ จนวันนี้เรามีบุญมากที่ได้ทำงานให้คนไทยทุกคน เราจะสร้างความสามัคคีให้พี่น้องทุกคน เราจะรบ จะแตกแยกกันทำไม เห็นต่างได้ แต่ต้องไม่ขัดแย้ง เราต้องนำสิ่งที่ดีที่สุด คือสิ่งที่ประชาชนต้องการมาทำให้ได้ เราเป็นพรรคปฏิบัติการคือพูดอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ จึงได้ชื่อว่าเป็นพรรคพูดแล้วทำ วันนี้ขอให้พรรคภูมิใจไทยได้เกิดใน จ.ขอนแก่น ได้หรือไม่ ที่ผมพูดทั้งหมดไม่ได้ขายฝัน ผมไม่ใช่หนู เชิญยิ้ม แต่เป็นหนูนำความเจริญสู่ประเทศไทย พรรคภูมิใจไทยพูดแล้วทำ เรื่องระยำๆ จะไม่บังเกิด ดังนั้น เลือกตั้งครั้งหน้าขอให้เข้าคูหากาพรรคภูมิใจไทย” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทินกล่าวด้วยว่า คราวก่อนเราให้สัญญาจะทำกัญชาทางการแพทย์ให้สำเร็จ วันนี้สำเร็จแล้ว แม้ว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง พ.ศ... จะค้างอยู่ในสภาฯ แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะกระทรวงสาธารณสุขที่พรรคดูแลอยู่ สามารถดูแลให้เดินต่อไปได้โดยไม่กระทบประชาชน เพราะกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดไม่ต้องกังวล ทั้งนี้ กฎหมายที่จะออกมาเพื่อให้ประชาชนสบายใจ แต่พอถูกขัดขา เพราะเขากลัวพรรคดังเกินไป เขาจึงดึงเอาไว้ พรรคที่เขาดึงไว้เขากลัวพรรคภูมิใจไทยเป็นคู่แข่งที่สำคัญของเขา เขากลัวเพราะเขาทำไม่ได้เหมือนพรรคภูมิใจไทย แม้จะขัดเราอย่างไร เราก็ยังดำเนินการต่อไปได้
โดยส่วนตัว ผมมีความชื่นชมพรรคภูมิใจไทยหลายประเด็น คือ 1.มีความเป็นเอกภาพสูงมาก 2.กล้าคิด กล้าทำ 3.มีผู้นำที่โดดเด่น
แต่สิ่งที่ขาดไปอยู่เสมอ คือ “วุฒิภาวะทางอารมณ์” เวลาไม่ได้ดั่งใจ จะขาดความสามารถในการควบคุมความคิดคำพูด และอารมณ์ของตัวเอง
ย้อนดูข่าวนายอนุทินโต้คารมกับหมอดูเถอะครับว่า มีกี่ครั้ง ไม่ต้องนับนายศุภชัย ใจสมุทร ที่เป็นเจ้าแห่งการตอบโต้ แม้หลายเรื่องที่ตอบโต้นั้น ถูก ใช่ แต่พวกเขาเป็น “ผู้ใหญ่” ที่สามารถ “เลือกวิธี” ตอบโต้ให้ดีกว่านั้นได้ครับ
ในที่นี้ขอขีด “เส้นใต้บรรทัด” ใต้ประโยค พรรคภูมิใจไทยพูดแล้วทำ เรื่องระยำๆ จะไม่บังเกิด
สองเรื่องที่ผมจะยกตัวอย่างต่อไปนี้ ไม่ถึงกับ “ระยำ”แต่ก็สร้างปัญหา คือ นโยบายกัญชาเสรี กับนโยบายหนี้ กยศ. ไม่คิดดอกเบี้ย
1) วันที่ 15 กันยายน 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า กรณีที่สภาเห็นชอบแก้กฎหมาย กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ไม่เก็บดอกเบี้ย และไม่คิดเบี้ยปรับนั้น ยังมีขั้นตอนของวุฒิสภา ที่กระทรวงการคลังจะต้องไปชี้แจงตามขั้นตอนทางกฎหมาย ส่วนจะสามารถปรับเปลี่ยนร่างกฎหมายได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเห็นของวุฒิสภา
อย่างไรก็ดี หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านทั้งวุฒิสภาก็คงต้องมีการวางแผนบริหารเงินกองทุน กยศ. ในอนาคต เนื่องจากในร่างกฎหมายใหม่นั้น การบริหารเงินจะแตกต่างจากเดิมที่เคยมีรายรับในด้านดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ ซึ่งจะหายไปหมด โดยที่ผ่านมา กยศ.ก็บริหารเงินกองทุนโดยไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินแล้ว แต่กองทุนใช้วงเงินเดิมที่รัฐบาลให้และเงินจากที่เยาวชนรุ่นก่อน เรียนจบแล้วมีการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย บางส่วนถ้าล่าช้าก็เสียเบี้ยปรับ ทำให้มีเงินหมุนตลอดเวลา
“ในเงื่อนไขของร่างกฎหมายใหม่ก็ต้องดูเงินที่เข้ามา และความต้องการใช้เงินว่ามากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม จะมีหรือไม่มีดอกเบี้ยนั้น ผู้กู้ยืมยังคงต้องมีวินัยการเงิน เพื่อคืนเงินต้น ให้คนรุ่นต่อไป ได้กู้ยืมต่อ”
ส่วนสถานะการเงินของกองทุน ก็ยังไม่เห็นปัญหาส่วนนี้ อย่างไรก็ดี ได้คาดการณ์ว่าหากมีความต้องการสินเชื่อเพื่อการศึกษามากขึ้น แต่รายได้ไม่เข้ามาเพิ่ม เพราะไม่มีดอกเบี้ย และเบี้ยปรับ ก็จะต้องใช้เงินก้อนเดิมที่เป็นเงินต้น มาใช้หมุนเวียน ดังนั้น เงื่อนไขที่สำคัญคือ เงินก้อนนี้ต้องกลับมา หมายความว่าผู้กู้ต้องคืนเงินต้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นภาระกองทุนได้
ด้าน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ฐานะประธานคณะกรรมการ กยศ. กล่าวว่า มีความเป็นห่วงว่าจะไม่มีวินัยในการชำระหนี้ เนื่องจากจะเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่มีวินัยหรือไม่ อย่างไรก็ดี หลักการที่ผ่านมา เป็นเรื่องเงินกู้แต่เรื่องดอกเบี้ยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการกำไรส่วนนี้ โดยไม่ได้มีความเป็นห่วงในเรื่องดอกเบี้ย แต่มีความเป็นห่วงประเด็นเบี้ยปรับ ซึ่งจะเป็นเรื่องของวินัย
“ขอไปดูรายละเอียด และให้กฎหมายออกมาก่อน ส่วนจะมีสิทธิเปลี่ยนแปลงกฎหมายตามที่สภา มีมติหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความเห็นของวุฒิสภา ส่วนประเมินว่าการไม่คิดดอกเบี้ยผู้กู้นั้น ควรจะเป็นรูปแบบให้มีผลย้อนหลังด้วยหรือไม่ จะต้องไปดูรายละเอียดกฎหมายอีกที แต่ตอนนี้กฎหมายยังไม่ได้ออกมา”
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการ กยศ. กล่าวว่า หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ตามที่รัฐสภาเห็นชอบทางคณะกรรมการกองทุนจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อสถานะกองทุน และการบริหารจัดการเรื่องการปล่อยกู้ในกับนักเรียนในระยะต่อไป เนื่องจากในแต่ละปีกองทุนจะมีสภาพคล่องที่ได้รับจากการชำระหนี้เงินกู้ ประมาณ 40,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ ประมาณ 6,000 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการกองทุน ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี เมื่อไม่มีดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ รายรับส่วนนี้ก็จะหายไป
2) วันที่ 19 กันยายน 2565 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่า การไม่ให้มีดอกเบื้ยและค่าปรับเป็นสิ่งที่ถูกใจทุกคน แต่ก็ต้องพิจารณาอีกมุมหนึ่งว่า เมื่อผู้ที่กู้ยืมเงิน กยศ.จบการศึกษาและทำงานแล้ว ก็ต้องคืนเงิน ถ้าไม่คืนก็จะต้องมีค่าปรับ เช่นเดียวกับที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทำไว้ คือ ไม่มีดอกเบี้ย หากไม่ชำระก็จะคิดเป็นค่าปรับแทน เป็นต้น
โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าพูดถึงในประเทศไทย เมื่อจบการศึกษาออกมา ทำงาน กู้จะต้องมีดอกเบี้ย ที่ไม่มีดอกเบี้ยแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นการฝึกพวกเขาเหล่านั้น จะหนึ่งสลึง 25 สตางค์ หรือ 20 สตางค์ บางครั้งไม่ใช่เรื่องปริมาณเงิน แต่เป็นการฝึกให้เขาเคยชินว่า เมื่อยืมเงินไปแล้ว จะต้องมีการใช้คืน ฝึกตนเองมีความรับผิดชอบที่จะคืนเงินคนที่ไปยืมเขามา
3) เช่นเดียวกับก่อนหน้านั้น คือ วันที่ 19 สิงหาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประกาศชี้แจงข่าวกรณีการล่ารายชื่อให้ยกหนี้ กยศ.ระบุว่า “ตามที่มีข่าวการล่ารายชื่อให้ยกหนี้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) นั้น สำนักงานขอเรียนว่า การยกหนี้ กยศ.ไม่ใช่การแก้ปัญหาหนี้ กยศ. แต่จะทำให้ผู้กู้ขาดวินัยทางการเงิน ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต แต่รัฐบาลเข้าใจปัญหาของหนี้ กยศ.ตามกฎหมายปัจจุบัน จึงได้เสนอแก้ไขให้การชำระหนี้ กยศ.ยังคงเป็นไปตามหลักเป็นหนี้ต้องใช้หนี้ แต่ผ่อนปรนการชำระหนี้ กยศ.ให้สอดคล้องกับรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร”
4) วันที่ 22 ก.ย. 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดโครงการผลิตผู้ช่วยพยาบาลเพื่อพัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการสร้างสุขภาวะชุมชน ปีการศึกษา 2565 และปฐมนิเทศนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล ของวิทยาลัยพยาบาล 30 แห่งในสังกัด ที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ์ในงานตอนหนึ่ง นายอนุทินได้กล่าวว่า
“..ถามว่ากัญชาดีไหมครับ เราเอากัญชามาเป็นสมุนไพร ให้สุขภาพดีขึ้น สารสกัดนำมาเป็นส่วนผสมอาหาร กระทั่งได้ถอดกัญชาออกจากยาเสพติด ขณะเดียวกันก็ร่างกฎหมายกัญชา กัญชง เข้าไปสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ร่างไปและรับหลักการ 45 หัวข้อเพื่อควบคุม พร้อมตั้งกรรมาธิการปรับปรุง รับฟังความเห็นจากภายนอก เช่นนักวิชาการ ผู้ใช้กัญชา จากแพทย์แผนไทย ฯลฯ กระทั่งออกเป็น 90 หัวข้อหรือมาตรา แสดงว่ามีรายละเอียดมากขึ้นรอบคอบมากขึ้น
...แต่สิ่งที่ไม่คาดฝัน คือ มีผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับกฎหมายกัญชาฉบับนี้ โดยยังไม่อ่านหรือพิจารณา ทั้งๆ ที่ควรพิจารณากฎหมายไล่ไปทีละข้อ ปรากฏว่าสมาชิกสภาฯ ไม่เห็นด้วย บอก..ไม่ครอบคลุม ไม่เห็นด้วย คว่ำกฎหมายนี้ใน 3 พรรค คือ พรรคเพื่อไทย พลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ ล้วนบอกว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ทราบเหตุผลใดๆเสียงส่วนใหญ่บอกว่าให้ยกออกไปก่อน พรรคภูมิใจไทยจึงต้องทำตามเสียงข้างมาก
...แต่ยืนยันว่าไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล คนที่ปลูกกัญชาก็ปลูกต่อไป ใครผลิตสินค้ากัญชาก็ดำเนินการต่อไป โดยพรรคภูมิใจไทยจะต้องผลักดันกฎหมายกัญชง กัญชาต่อไปในครั้งหน้า...”
5) ผมไม่รู้ว่าการ “กล่าวเกินจริง” และ “ไม่กล่าวความจริงบางอย่าง” คือ “ความระยำ” หรือไม่ เพียงแต่คิดว่า คนที่มีวุฒิภาวะ มีภาวะผู้นำ ควรกล่าว “ความจริง” ดังต่อไปนี้
5.1. กฎหมายไม่ได้ถูก “คว่ำ” แค่เลื่อนการพิจารณาออกไปด้วยเหตุผลว่า วันที่วาระของกฎหมายนี้เข้าสู่การพิจารณา เป็นวันสุดท้ายของสมัยประชุม หากเร่งพิจารณาหรืออภิปรายกันเวลาจะไม่พอ ทำให้กฎหมายต้องหยุดอยู่หรือแก้ไขไม่ได้ในสิ่งที่สมาชิกสภาฯท้วงติง และหากดันทุรังจะพิจารณาต่อ กฎหมายอาจจะถูก “ตีตก” ไปเลยก็ได้ การให้ “ถอน” ออกมาก่อน จึงปลอดภัยที่สุดสำหรับกฎหมายดังกล่าว
5.2 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซึ่งอยู่พรรคภูมิใจไทย) แถลงเมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมาว่า ... “แม้ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงยังคงต้องอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภา กฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ก็จะควบคุมการใช้กัญชา กัญชง ไปจนกว่าพระราชบัญญัติฉบับสมบูรณ์จะออกมาบังคับใช้ หรือหากมีกรณีใดที่มีความจำเป็นต้องออกกฎหมายมารองรับ ก็มีคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพืชกัญชาและกัญชง ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน สามารถพิจารณาออกประกาศหลักเกณฑ์ต่างๆ มาดูแลเพื่อให้เกิดความเหมาะสมเพิ่มเติมได้” คำถามคือ ทำไมนายอนุทินไม่พูดความจริงข้อนี้ให้ทุกคนคลายกังวล แต่กลับสร้างความกังวล โกรธ เกลียด สมาชิกสภาที่ลงมติแบบ “ไม่สนองความต้องการ” ของเขา
ในฐานะที่นายอนุทินก็นับเป็น ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ท่านหนึ่ง ผมอยากเห็นท่าน “สุขุม จริงใจ ตรงไปตรงมา และมีวุฒิภาวะ” ที่จะบอกทุกคนในสังคมว่า
“เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องห่วงนะครับ สมาชิกสภาก็ทำหน้าที่ของท่านเพื่อความรอบคอบและสิ้นกังวล ซึ่งผมเข้าใจและเคารพการทำหน้าที่นั้น ระหว่างนี้ หากมีปัญหาอะไร ผมกับคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพืชกัญชาและกัญชง จะคอยแก้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้ ตามอำนาจหน้าที่ที่เรามี และในระหว่างนี้ ขอเชิญทุกพรรคการเมือง นักวิชาการ แพทย์ เภสัชกร หมอยาพื้นบ้าน นักกฎหมาย ตลอดจนประชาชนทั่วไป เสนอแนะเข้ามายังกรรมาธิการได้เลยนะครับ ว่าอยากเห็นการเพิ่ม-ลด อะไรในร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อที่เมื่อเปิดสมัยประชุมมา เราจะได้นำเสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณา และเราจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่มีความรับผิดชอบและรอบคอบต่อการออกกฎหมายให้มากที่สุด ขอบคุณครับ”
ถ้าออกมาในรูปนี้ ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ ก็ไม่มี “ความระยำ” เจือปนเลยครับ !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี