เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ผู้นำจีนชุดปัจจุบันโดย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีความประสงค์มุ่งมั่นที่จะรวมจีนแผ่นดินใหญ่ กับจีนเกาะไต้หวัน ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ภายในกลางศตวรรษที่ 21 นี้ หรือนัยหนึ่งอีกประมาณหนึ่งช่วงอายุคน (Generation) และพร้อมจะใช้กำลังเพื่อการรวมประเทศถ้าจำเป็น ซึ่งตลอดมาจีนแผ่นดินใหญ่ก็ได้ทำการข่มขู่จีนไต้หวันมาตลอดว่า อย่าได้คิดอ่านกระทำการใดๆ ที่จะประกาศเอกราช มิเช่นนั้น จะต้องเจอกับสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในทางทฤษฎีนั้น โลกทั้งโลกต่างประกาศยอมรับว่าประเทศจีนเป็นประเทศเดียวที่มี 2 ระบบการเมืองการปกครองโดยระบบคอมมิวนิสต์อยู่ที่กรุงปักกิ่ง อีกระบบเป็นระบบเสรีประชาธิปไตยอยู่ที่เกาะไต้หวัน ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ของโลก มีความสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรงกับรัฐบาลจีนที่ปักกิ่ง และมีรัฐบาลปักกิ่งเป็นตัวแทนของจีนในองค์การระหว่างประเทศทั้งหมด มิใช่ไต้หวัน
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จีนเกาะไต้หวันนั้นถือเป็นพันธมิตรทางด้านการทหารกับสหรัฐอเมริกา และทั้ง 2 มีอุดมการณ์ร่วมในเรื่องเสรีประชาธิปไตย ทำให้มีการซ้อมรบร่วมกันเป็นระยะๆ โดยสหรัฐฯ ถือเป็นผู้สนับสนุนไต้หวันรายใหญ่ในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อการป้องกันตัวเอง
แต่โดยตลอดมาก็มีความคลุมเครือ และไม่มีความแน่ชัดจากฝั่งสหรัฐฯ ว่า หากจีนแผ่นดินใหญ่จะดำเนินการใช้กำลังยึดครองไต้หวัน อันเนื่องมาจากการที่ไต้หวันประกาศเอกราช ละทิ้งหลักการนโยบายจีนเดียว 2 ระบบ แล้วฝ่ายสหรัฐฯ จะมีหลักการปฏิบัติอย่างไร?
ท่าทีที่คลุมเครือของสหรัฐฯ นั้นคู่ขนานไปกับพฤติกรรมให้ท้ายไต้หวันเป็นระยะๆ โดยล่าสุดคือการที่ นางแนนซี่ เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้เดินทางไปเยือนเกาะไต้หวัน ตามด้วยการเคลื่อนกองเรือรบสหรัฐฯ ผ่านช่องแคบไต้หวัน และการประกาศขายอาวุธทันสมัยให้กับไต้หวันเพิ่มเติม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ บ่งบอกถึงการรับรองสถานะเป็นรัฐอิสระ หรือเป็นเอกเทศของไต้หวันเป็นนัยๆ
และแล้ว หลังจากการซ้อมรบใหญ่ของจีนแผ่นดินใหญ่รอบเกาะไต้หวันไม่นาน ความแน่ชัดของท่าทีของสหรัฐฯ ต่อกรณีสถานการณ์ปีนเกลียวระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่ กับจีนเกาะไต้หวันก็ได้ปรากฏขึ้น (ประมาณกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา) เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ฝ่ายสหรัฐฯ จะส่งทหารอเมริกันไปที่ไต้หวัน หากจีนทำการบุกรุก และรุกรานไต้หวัน
จุดยืน และท่าทีของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนดังกล่าว มีนัยที่สำคัญหลายประการ เช่น
1. ป้องปรามมิให้จีนแผ่นดินใหญ่ใช้กำลัง เพราะหากเลือกกระทำเช่นนั้น จีนจะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากกองกำลังฝ่ายสหรัฐฯ
2. เป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายจีนแผ่นดินใหญ่ เลิกใช้แนวทางการใช้กำลังรวมประเทศ และหันมาใช้วิธีการเจรจาทางการทูตเป็นหลักแทน
3. เป็นการให้ขวัญ และกำลังใจ ต่อจีนเกาะไต้หวันว่า จะไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยว และไม่ถูกทอดทิ้งให้รับมือกับจีนแผ่นดินใหญ่ตามลำพัง
นอกจากนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังได้กล่าวว่าประชาชนพลเมืองไต้หวันมีสิทธิ์ที่จะกำหนดอนาคตของตนเองฟังแล้วก็ชวนเข้าใจได้ว่า ไต้หวันนั้นสามารถที่จะเลือกที่จะ
1. คงสถานะของไต้หวันไว้ตามเดิม คือมีระบบการเมืองการปกครองที่เป็นคนละระบบกับของจีนแผ่นดินใหญ่แต่ยังคงยึดหลักการจีนเดียว 2 ระบบไว้
2. เป็นเอกราช โดยปฏิเสธเงื่อนไข 1 จีน 2 ระบบ ไปโดยเด็ดขาด ส่งผลให้จีนแผ่นดินใหญ่ และจีนเกาะไต้หวัน ต่างคนต่างไปตามวิถีทางของตนเอง
3. เรียกร้องให้จีนแผ่นดินใหญ่เอาระบบเสรีประชาธิปไตยไปใช้เป็นระบบการเมืองการปกครองของประเทศจีน ก่อนที่จะรวมประเทศกัน หรือนัยหนึ่งคือให้จีนแผ่นดินใหญ่เปิดกว้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ และลัทธิศูนย์รวมอำนาจ
แต่ในรูปการนี้ หากมองให้ลึกลงไป ก็พอตีความอีกแบบได้ว่า จีนเกาะไต้หวันนั้นควรจะกำหนดทิศทางของตนเอง โดยการประกาศตนเป็นประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสหรัฐอเมริกานั้นพร้อมจะสนับสนุนเต็มที่ เช่น การรับรองสถานะการเป็นประเทศของจีนเกาะไต้หวัน ตามแนวปฏิบัติทางการทูตสากล เป็นต้น
ทั้งนี้ ก็ต้องทบทวนกลับไปว่า สงครามกลางเมืองระหว่างจีนคอมมิวนิสต์ กับจีนชาตินิยม (ก๊ก มิน ตั๋ง) ได้สิ้นสุดการสู้รบเมื่อปี ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) โดยจีนคอมมิวนิสต์เป็นฝ่ายผู้ชนะที่ครอบครองและบริหารพื้นที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้จนถึงบัดนี้ขณะที่ฝ่ายจีนชาตินิยมถูกตีจนตกทะเล ต้องข้ามไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะไต้หวันจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งก็ต้องไม่ลืมว่า จีนคอมมิวนิสต์ในขณะนั้น มีความสามารถที่จะข้ามฝั่งไปทำลายจีนชาตินิยมได้แต่ก็เลือกที่จะหยุดการสู้รบ และเลือกที่จะต่างคนต่างอยู่กันตั้งแต่บัดนั้น ในขณะที่ผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบันกลับมองว่า สงครามกลางเมืองของจีนยังไม่แล้วเสร็จ ยังคงค้างคาอยู่ ทำให้ต้องมีการเผชิญหน้ากันระหว่างช่องแคบไต้หวันเพื่อรวมประเทศให้แล้วเสร็จให้จงได้
ในสภาพการณ์ปัจจุบัน การใช้ความรุนแรงเพื่อรวมประเทศจีนนั้นดูไม่ง่ายนัก เพราะยังมีสหรัฐฯ ที่พร้อมเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้น่าจะถึงเวลาที่จีนแผ่นดินใหญ่ และจีนเกาะไต้หวัน จะพิจารณาบนพื้นฐานความสงบสุขของพลเมืองชาวจีนและชาวโลก หันกลับมาสู่โต๊ะเจรจา เพื่อหาทางออกโดยสันติวิธีว่า จะอยู่กันต่อไปอย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นการต่างคนต่างอยู่ด้วยวิธีการต่างระบบ หรือจะต่างไปตามทิศทางของตนเอง ซึ่งจะต้องเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ด้วยข้อตกลงว่าด้วยการยุติสงครามกลางเมือง และข้อตกลงว่าด้วยการไม่รุกรานซึ่งกันและกัน รวมถึงข้อตกลงว่าด้วยการกำหนดให้ช่องแคบไต้หวันเป็นเขตปลอดอาวุธ เป็นต้น
ความแน่ชัดของนโยบายและท่าทีของสหรัฐฯ ดังกล่าวที่ว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองไต้หวันนั้น ในแง่หนึ่งก็อาจจะมองได้ว่าเป็นการท้ารบ ท้าตี ท้าต่อย กับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็ถือเป็นการเตือนสติจีนแผ่นดินใหญ่ว่า การใช้ความรุนแรงนั้นมิใช่ทางออก แต่จะเป็นการสูญเสียของทุกฝ่ายมากกว่า
ฉะนั้น หากจีนแผ่นดินใหญ่ยังคิดจะรวมเกาะไต้หวันก็ควรจะต้องยึด และมุ่งมั่นไปในวิถีทางสันติแต่อย่างเดียว นั่นคือการเจรจาเพื่ออยู่ร่วมกันด้วยสันติ เพื่อมิให้ชาวจีนและชาวโลกต้องตกระกำลำบากมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อีกเลย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี