ทุกช่วงท้ายสมัยของรัฐบาลแบบปกติ ที่รู้ว่าจะจบรัฐบาลเมื่อไร หรือจะเลือกตั้งเมื่อไร มักจะเจอแรงเขย่าทางการเมือง โดยเฉพาะแรงเขย่าที่เป็นปัญหากระทบต่อประชาชนโดยตรง อย่างเรื่องเศรษฐกิจหรือปัญหาปากท้อง ที่เห็นชัดๆ อย่างช่วงท้ายสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่จู่ๆ ก็เผชิญวิกฤตราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคพื้นฐาน หากยังจำกันได้เรื่องราคาปาล์ม ไข่ไก่ ที่ทำเอารัฐบาลอภิสิทธิ์ในช่วงหาเสียงปั่นป่วนอย่างหนัก แต่รอบนี้อาจจะหนักหน่อย เพราะมีวิกฤตจริง อันเกิดปัจจัยภายนอก อย่างภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลต่อราคาพลังงาน ภาวะสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ที่ส่งผลตั้งแต่ค่าเงินไปจนถึงราคาสินค้าวัตถุดิบภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ภาวะภูมิอากาศโลกที่ส่งผลต่อภัยพิบัติและน้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม ภาวะภัยพิบัติในอดีตบางยุคที่ดันเกิดในท้ายสมัยรัฐบาลหากรัฐบาลไหนแก้ปัญหาได้ดีจนประชาชนเห็นก็กลับกลายจากวิกฤตเป็นโอกาส อย่างช่วงภัยพิบัติสึนามิท้ายรัฐบาลทักษิณ 1 ที่สามารถจัดการได้ดีจนกลายเป็นจุดแข็งสร้างจุดเด่นด้านภาวะผู้นำ กระนั้นก็ตามหากเป็นท้ายสมัยแบบไม่รู้ตัวล่วงหน้า เช่น ยุบสภาแบบฉุกเฉินหรือโดนรัฐประหาร สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นหรืออาจจะไม่เกี่ยวข้องเลย
จากสภาวะของดิน ฟ้า อากาศ ที่ในช่วงนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นใจให้กับประชาชนในประเทศเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม แต่ละพรรคการเมืองกลับต้องเร่งทำงานหนักในการ
เตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในยามที่เริ่มเข้าสู่ช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งใหญ่แบบรู้ช่วงเวลาชัดเจนอย่างเต็มรูปแบบ
ในความเป็นจริง การทำกิจกรรมของแต่ละพรรคตอนนี้ ก็เข้าถึงขอบเขตวันที่ต้องระมัดระวัง ความสุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายแล้ว หรือแม้กระทั่งการสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินไม่ว่าจะรูปแบบใดก็แล้วแต่ ดังนั้นการประกาศตัวผู้สมัครและการลงพื้นที่ในช่วงหลังจากนี้จึงต้องจับตาให้ดี?
ยกเว้นรัฐบาลและผู้ว่าฯกทม. ที่ยังคงมีอำนาจหน้าที่ในการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนได้ ไล่ไปตั้งแต่การช่วยน้ำท่วมไปจนถึงช่วยเรื่องปัญหาราคาสินค้า ปัญหาเกษตรกร อย่างไรก็ตามหากทำไม่สำเร็จ แก้ไม่ได้ก็จะกลายเป็นเป้าลบที่รัฐบาลท้ายสมัยในอดีตก็เผชิญมาตลอด
จับตาให้ดีหลังจากนี้ ความร่วมมือที่เคยมีอาจไม่เป็นเหมือนอย่างเคย รวมถึงหากทำไม่ดีอาจเป็นหนึ่งในอาวุธที่ฝ่ายค้านอาจใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีรัฐบาลในการทำลายความเชื่อมั่น?ในสมัยประชุมสภาสุดท้ายที่จะเปิดประชุม 1 พฤศจิกายนนี้อย่างไรก็ตาม รัฐบาลท้ายสมัยรู้ดี เราจะเห็นรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมและรับมือกับเรื่องดังกล่าวเป็นพิเศษ ทั้งการเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วม การเยี่ยมเยียนประชาชนที่ประสบภัย หรือแม้กระทั่งการเข้าให้ความช่วยเหลือในทุกๆ รูปแบบ แต่ปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ในขณะนี้ ดูจะไม่ได้มีเพียงแค่ภัยพิบัติทางธรรมชาติเพียงเท่านั้น
หลังจากที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดเกือบอายุรัฐบาล ซึ่งได้ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักนั้นต้องหยุดชะงักลง จากภาคการท่องเที่ยว และส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศเป็นวงกว้าง แต่เมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เหมือนว่ากำลังจะสิ้นสุด จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็ต้องถือเป็นผลงานที่โดดเด่นของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ในการบริหารจัดการวิกฤตการแพร่ระบาด ที่สามารถรับมือได้อย่างดีเยี่ยม จนได้รับคำชื่นชมจากต่างประเทศถึงการรับมือและแก้ไขกับวิกฤตดังกล่าว
แม้การแพร่ระบาดที่เหมือนจะสิ้นสุดลงซึ่งก็ได้สร้างความหวังให้กับประชาชนว่า สภาวะเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาอยู่น่าจะกระเตื้องขึ้นมาบ้าง แต่เหมือนว่าวิกฤตการแพร่ระบาด ที่ได้ขยายวงไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจอาจไม่ใช่คลื่นยักษ์ลูกสุดท้ายเพราะในตอนนี้ผลกระทบว่าด้วยเรื่องวิกฤตพลังงาน ที่ได้ก่อตัวขึ้นมาสักพัก และอาจเป็นหนึ่งในระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่มาซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจ ที่จะย้อนมาทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลหรือไม่?
ก่อนหน้านี้หากยังจำกันได้ ปัญหาวิกฤตพลังงานนั้นเริ่มมีสัญญาณ มาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ปัญหาราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่นั้นเริ่มปะทุขึ้น ซึ่งได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันของตลาดโลกนั้นพุ่งขึ้นสู่จุดสูง และแน่นอนว่าผลกระทบดังกล่าวได้ส่งผลถึงประเทศไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเป็นที่ทราบกันดีว่าน้ำมันนั้นเป็นต้นทุนของทุกสิ่ง เมื่อราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น เท่ากับว่าต้นทุนของทุกสิ่งอย่างก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นตาม ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต ภาคการขนส่ง รวมถึงภาคการคมนาคมด้วย แม้ว่าราคาน้ำมันในตอนนี้จะลดลงมาในระดับหนึ่งแล้ว
และไม่ได้อยู่ในจุดที่สูงเหมือนในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา จนประชาชนเริ่มเบาใจและอาจคิดว่าปัญหาทุกอย่างน่าจะเริ่มเบาลงแล้ว แต่จริงๆ อาจไม่ใช่ เพราะปัจจัยต่างประเทศยังเป็นตัวบีบปัญหาและโดยเฉพาะเมื่อไรที่เข้าปลายปีช่วงฤดูหนาวปัญหานี้จะกลับมาอีกครั้ง แต่เคราะห์ซ้ำที่จู่ๆ ก็มีปัญหาด้านพลังงานภายในงอกมาอีกแบบไม่ได้นัดหมายว่าเป็นช่วงปลายสมัยพอดี
ในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ จู่ๆ ก็มีคนจุดประเด็นค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนเริ่มมีเสียงระงมมาจากประชาชนตามมาจริง และตามมาด้วยข้อสงสัยที่ว่าเพราะเหตุใดค่าบริการพลังงานไฟฟ้านั้นสูงขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ซึ่งก็ต้องไปพูดถึงเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิตต่างๆ ที่ไม่อาจควบคุมได้ทั้งหมด เช่น ราคาเชื้อเพลิง อัตราเงินเฟ้อ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่ล้วนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าทั้งสิ้น ซึ่งประเทศไทยไม่ได้พบเจอปัญหานี้แต่เพียงผู้เดียว
อันที่จริงวิกฤตเรื่องพลังงานนั้น ได้เกิดขึ้นทั่วโลก จากสภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งนำไปสู่การคว่ำบาตรทางรัสเซียต่างๆ นานา และหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของรัสเซียสู่ยุโรปก็คือ พลังงานธรรมชาติ และเมื่อยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยในรูปแบบใด ก็ไม่อาจตอบได้ว่าวิกฤตด้านพลังงานนั้นจะสิ้นสุดเมื่อใดเช่นกัน?
แต่หากมองลึกลงไปแล้วแม้ว่าสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจะเป็นจุดเริ่มต้นแต่นั่นอาจไม่ใช่ทั้งหมดเอาเข้าจริงแม้ประเทศไทยจะมีกำลังการผลิตในระดับที่สามารถผลิตพลังงานได้ แต่คำถามคือกำลังการผลิตนั้น เพียงพอกับความต้องการบริโภคหรือไม่? เพราะในตอนนี้ต้องยอมรับว่า สัดส่วนในการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมายอดนำเข้าพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ได้ส่งผลให้ประเทศไทยขาดดุล 1.5 แสนล้านบาท
ซึ่งในเรื่องวิกฤตพลังงานนี้พลเอกประวิตรในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีก็เร่งหาทางแก้ไขปัญหาในเรื่องวิกฤตพลังงานดังกล่าว ในรูปแบบที่เป็นการแก้ไขปัญหาแบบระยะยาว โดยมีการพูดถึงเรื่องของการเจรจาเพื่อพัฒนาแหล่งพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา เพื่อที่จะนำก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว เข้ามาช่วยรองรับวิกฤตด้านพลังงานของประเทศ ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ตามในระยะสั้นและภาวะการเมืองท้ายสมัย การตัดสินใจแบบนี้อาจไม่ส่งผลบวกทางการเมือง
แต่หากมองในระยะยาว แม้จะบอกว่า มีแผนดีแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรือทุกรัฐบาลจะทำได้ เพราะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากมีรูปแบบในการเจรจาที่ไม่ดี ก็อาจนำมาซึ่งรอยร้าวแห่งความสัมพันธ์ก็เป็นได้ แต่เรื่องนี้ความเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งต่อเนื่องอาจจะมีโอกาสเข้าใกล้ความสำเร็จได้มากกว่าหรือไม่ ซึ่งผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ภายในปีนี้ก็น่าจะพอมีทิศทางให้พอได้เดาบทสรุป หากนายกรัฐมนตรีหรือรักษาการนายกรัฐมนตรี ผู้สวมบทบาทประธานผู้นำการเจรจา สามารถประสานงานและตกลงกับทางการกัมพูชาได้สำเร็จ ก็น่าจะพอเป็นผลงานที่สร้างชื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลได้ เพราะเรื่องพลังงานก็เป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานเรื่องของปากท้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นลำดับต้นๆ และราคาพลังงานที่พุ่งสูงก็เป็นหนึ่งในปัจจัยของเงินเฟ้อ ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้
หากการเจรจาได้ข้อสรุปหรือเป็นไปในทิศทางเชิงบวก เชื่อว่าคะแนนความนิยมส่วนตัวของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น ก็น่าจะส่งผลไปถึงพรรคพลังประชารัฐได้ไม่ยากนัก?
แต่ในขณะรักษาการนายกฯขณะนี้ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่การที่พลเอกประวิตรเดินเกมด้านพลังงานพร้อมกับการประคับประคองสถานการณ์อุทกภัยภายในประเทศ ก็ถือเป็นเรื่องที่สามารถกู้ภาพลักษณ์พลเอกประวิตรได้ค่อนข้างดีเพราะหากพิจารณาในส่วนของการแก้ปัญหาน้ำท่วมส่วนของภูมิภาคตอนนี้ดูจะสามารถประคับประคองสถานการณ์น้ำได้ดียิ่งไปกว่านั้นการที่พลเอกประวิตรเริ่มหาทางออกของปัญหาพลังงานในรูปแบบที่ระยะยาวมากขึ้น ผลของการกระทำก็อาจเปลี่ยนเสียงที่เคยสบประมาทได้หรือไม่?
ในขณะที่แม่ยกพรรคพลังประชารัฐต้องมาลุ้นว่าทางพลเอกประวิตร จะสามารถพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสได้หรือไม่นั้น? แต่ในท้ายสมัยของอีกฟากหนึ่งก็มีอีกหนึ่งขั้วการเมืองที่ต้องเผชิญกับวิกฤตเช่นเดียวกัน แต่แม้ว่าจะเผชิญกับวิกฤตเหมือนกันแต่สถานภาพนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผลจากการที่รูปแบบของการเลือกตั้งนั้น ยังไม่อาจหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ค่อนข้างสูงที่รูปแบบในการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อ ที่อาจใช้รูปแบบในการหารด้วย 100 มากกว่าที่จะเป็นการหารด้วย 500 เช่นกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น รูปแบบและกติกาทั้งหมดถูกมองว่าเข้าทางพรรคใหญ่ที่มีฐานเสียงเป็นจำนวนมาก สวนทางกับพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่อาจต้องเอาตัวรอดจากสภาวะดังกล่าว
หนึ่งในทางออกที่พอจะเป็นไปได้ของกติกาที่คาดว่าจะเป็นกติกาใหม่ ทำให้เกิดการผนึกกำลังของสถาบันพรรคการเมืองขนาดเล็ก - ขนาดกลาง หรือพรรคที่พึ่งเกิดใหม่ ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งล่าสุดนี้เอง พรรคชาติพัฒนา ก็ได้มีการรีแบรนด์ เปลี่ยนชื่อพรรคการเมืองเป็นพรรคชาติพัฒนากล้า และได้มือดีอย่างนายกรณ์และนายอรรถวิชช์ มือดีทางเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในขุนพลระดับผู้บริหาร ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า พรรคชาติพัฒนากล้า หลังจากที่ถูกติดปีกแล้ว จะสามารถสร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองได้มาน้อยเพียงใด? และจะสามารถฝ่าฟันวิกฤตว่าด้วยเรื่องรูปแบบและกติกาการเลือกตั้งได้หรือไม่?
พรรคชาติพัฒนากล้า เป็นหนึ่งในพรรคที่ต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับกติกาการเลือกตั้งที่มีแนวโน้มจะเป็นไปได้มากที่สุด แต่หากเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองเก่าที่คาดว่าน่าจะได้ประโยชน์จากกติกาและรูปแบบในการเลือกตั้งนั้น นั่นคือพรรคเพื่อไทย ทั้งสูตรในการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อที่มีโอกาสเป็นการหาร 100 มากกว่า ประกอบกับเมื่อบัตรเลือกตั้งรูปแบบ 2 ใบ มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าใบเดียว ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะติดปีกเหนือพรรคการเมืองคู่แข่งเป็นพิเศษ หากได้กระแสมาอีกก็จะยิ่งติดปีก
ล่าสุดเมื่อพรรคเพื่อไทยสามารถเอาชนะได้ในเวทีเลือกตั้งซ่อม อบจ.ร้อยเอ็ด แบบแลนด์สไลด์ ยิ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพลพรรคครอบครัวเพื่อไทยเป็นอย่างมาก และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็มีโอกาสไม่น้อยที่เลือดเพื่อไทย ที่เคยไหลออกจากบ้านโดยเฉพาะในภาคอีสาน อาจหวนคืนกลับสู่อ้อมอกเพื่อไทยอีกครั้ง รวมถึง สส. จากพรรคการเมืองอื่นๆ ก็อาจแปรพักตร์เข้าสู่รั้วครอบครัวพรรคเพื่อไทยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าพรรคเพื่อไทย จะมาเหนือเมฆในการเลือกตั้งครั้งนี้สักทีเดียว เพราะเมื่อพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งในพื้นที่อย่างพรรคภูมิใจไทย ก็มีกำลังวังชาที่แข็งแกร่งขึ้น พร้อมที่จะเป็นหนึ่งในกำแพงที่คอยสกัดกั้นพรรคเพื่อไทย ไม่ให้ไปสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์อย่างง่ายดายนัก รวมถึงพรรคการเมืองร่วมฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกลที่พร้อมจะต่อสู้แย่งชิงพื้นที่กับพรรคการเมืองร่วมรั้วอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเวทีคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นในเขตกรุงเทพฯ หรือเวทีคนเมืองในเขตต่างจังหวัดก็ตาม
พรรคเพื่อไทยแม้จะดูเป็นต่อ แต่ก็ไม่ได้มาเหนือสักทีเดียว และยังต้องมีการบ้านให้ไปปรับแก้อีกจำนวนไม่น้อย ทั้งในเรื่องของความชัดเจนในเรื่องผู้นำที่แท้จริงของพรรค และการที่พรรคยึดโยงกับตัวบุคคลมากเกินไป แม้จะเป็นข้อดีก็จริง แต่ก็แฝงไปด้วยดาบสองคมอยู่ด้วยหรือไม่?
พรรคเล็กก็ต้องเอาตัวรอดจากกติกาและรูปแบบการเลือกตั้งที่แม้จะไม่สามารถคาดเดาได้ แต่กติกาที่ออกมาก็ไม่น่าจะเข้าทางนัก จึงต้องมีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับวิกฤตที่ต้องเผชิญ ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่าพรรคชาติพัฒนากล้าก็เป็นพรรคแรกที่ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการรีแบรนด์ แต่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนได้มากน้อยเท่าใดก็ต้องรอติดตาม
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องจับตาดู นั่นคือเมื่อศาลได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็นนายกฯ 8 ปี ของพลเอกประยุทธ์ออกมาแล้วนั้นแต่ละฝ่ายจะมีความเคลื่อนไหวในทิศทางใดกันแน่ และน่าจะส่งผลถึงรูปแบบการแข่งขันในการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น เพราะพลเอกประยุทธ์ถือเป็นกุญแจสำคัญหนึ่งของการตัดสินใจและการเคลื่อนไหวของอีกหลายคนหลายพรรค ?
“ความสุขเป็นสิ่งที่ประหลาดยิ่ง หาได้ลดน้อยเพราะท่านแบ่งปันแก่ผู้อื่นไม่
บางครั้ง ท่านยิ่งแบ่งปันแก่ผู้อื่นมากขึ้น ความสุขที่ตนเองได้รับ ก็จะมากยิ่งขึ้น”
โกวเล้ง จาก ดาบมรกต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี