ในขณะที่มีแนวโน้มค่อนข้างชัดเจนอย่างมากว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก และสหรัฐอเมริกาไม่น่าจะรอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย และมีความเชื่อตรงกันอีกว่าประเทศเหล่านั้นจะเผชิญสภาพปัญหาเศรษฐกิจถดถอยในช่วงกลางปีหน้าและปัญหานี้จะกินเวลาไปอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6-8 เดือน หรืออาจจะลากยาวไปเป็นปี ถ้าหากไม่สามารถแก้วิกฤตครั้งนี้ได้
ถ้าประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันตก และสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย คำถามคือแล้วประเทศไทยจะรอดพ้นจากวิกฤตนี้ได้หรือ
สำหรับกลุ่มคนที่ติดตามปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปตะวันตก และสหรัฐอเมริกามาอย่างต่อเนื่องต่างมีความเห็นตรงกันว่า อย่างช้าที่สุดคือในช่วงกลางปีหน้า (พ.ศ. 2566) สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ คาดการณ์กันว่าจะมีชาวอเมริกันตกงานเป็นจำนวนหลายล้านคนและธุรกิจเอกชนจะต้องปิดตัวลงเป็นจำนวนมากแม้กระทั่งธุรกิจขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับข้ามประเทศก็จะต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจใดจะสามารถประคองตัวให้อยู่รอดปลอดภัยได้เท่านั้น หากไม่สามารถรักษาตัวให้รอดพ้นจากวิกฤต ก็หมายความว่าต้องถึงกาลอวสานโดยไม่มีข้อยกเว้น
ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ประชาคมโลกรับรู้โดยทั่วกันก็คือ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2565 สหรัฐฯ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.75 ซึ่งเป็นการประกาศขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.00-3.25 และก็ยังมีแนวโน้มอีกว่าในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ สหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นทันทีประมาณร้อยละ 0.8ส่วนค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงทันทีเช่นกัน โดยลงไปอยู่ที่อัตรา 37.210 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ
คาดการณ์กันว่าก่อนจะหมดปีนี้ สหรัฐฯ จะปรับดอกเบี้ยไปแตะระดับร้อยละ 4 และอาจจะสูงกว่าร้อยละ 4 ได้ด้วย ส่วนเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับร้อยละ 8.3 ต่อเดือนในเดือนกันยายน
เมื่อสหรัฐฯ แสดงอาการออกชัดเจนเช่นนี้แล้ว ก็ต้องหันมาจับตามองเศรษฐกิจไทยโดยทันที เพราะไม่มีทางที่เศรษฐกิจไทยจะไม่ได้รับผลกระทบด้านลบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพียงแต่ต้องดูว่าจะได้รับผลกระทบด้านลบมากหรือน้อยเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ถามว่าเศรษฐกิจไทยจะได้ผลดีจากเหตุการณ์ครั้งนี้หรือไม่นั้น ตอบได้ชัดเจนตรงประเด็นว่า ไม่มีทาง
หากติดตามการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯมาโดยตลอดจะพบว่าตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยมาโดยตลอด เพื่อใช้เป็นกลไกควบคุมอัตราเงินเฟ้อในประเทศ หลังพบว่าราคาสินค้าสำคัญๆ เช่น เชื้อเพลิง และอาหารเพิ่มราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็พบว่าดัชนีความมั่นใจผู้บริโภคลดลง การซื้อขายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวอย่างชัดเจน แถมอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ กลับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจโรม พาวเวลล์แถลงข่าวและยอมรับว่า เศรษฐกิจบางส่วนกำลังชะลอตัวลงและส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้ เพื่อควบคุมอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี
ขณะเดียวกันเมื่อมองไปยังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็เคยออกมาเตือนว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอย และจะพบด้วยว่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง ที่เคยได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่ต่ำในช่วงระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมาถึงกับต้องประกาศลดพนักงาน และชะลอการจัดซื้อจัดจ้างลง
และยังมีสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่น่าไว้วางใจอีกประการคือ ปิแอร์ โอลิวิเอร์ เการินชาสผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ยอมรับว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกดูเสมือนว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นจึงพบว่าต่อมาเพียงไม่นานธนาคารกลางแห่งยุโรป (ECB) ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอัตราสูงสุดในรอบ 11 ปี ส่วนธนาคารกลางแห่งอังกฤษ ก็ประกาศขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศที่ต้องประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
ที่ได้สาธยายเรื่องปัญหาเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ มายืดยาวนั้น ก็เพียงเพื่อยืนยันว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศบนโลกใบนี้กำลังประสบปัญหา เมื่อเราได้เห็นชัดแล้วว่านานาประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ ก็ทำให้ต้องกลับมามองสภาพเศรษฐกิจของไทย แล้วตั้งคำถามว่า แล้วประเทศไทยจะรอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจไปได้หรือ
เราคงไม่ปฏิเสธว่าเศรษฐกิจไทยนั้นจะเฟื่องฟูหรือซบเซาก็มีเหตุปัจจัยมาจากระบบเศรษฐกิจของโลก เพราะเศรษฐกิจไทยนั้นต้องพึ่งพิงระบบเศรษฐกิจโลก เนื่องจากระบบเศรษฐกิจของไทยเพียงลำพังนั้นไม่สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร ยิ่งในยุคที่เราต้องผลิตเพื่อส่งออกมากกว่าผลิตเพื่อใช้อุปโภค-บริโภคภายในประเทศ เพราะว่าตลาดในประเทศ และกำลังซื้อในประเทศของเรานั้นมีไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตจนสามารถเลี้ยงตัวเองได้
เพราะฉะนั้น เมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงจนอาจเข้าถึงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วยแล้ว ก็คงจะยากที่เศรษฐกิจไทยจะรอดพ้นจากการต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่จะตามมาในไม่ช้า
คำถามคือคนไทยทุกคนเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ค่อนข้างเลวร้ายนี้อย่างไร รัฐบาลวางนโยบายใดเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วหรือยัง อย่าลืมว่าหากเราส่งออกได้น้อยลง เราจะหนีไม่พ้นวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเกิดกับเราอย่างแน่นอน หรือเราจะแก้ปัญหาโดยเพิ่มการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น คำถามคือประชากรส่วนใหญ่ของเรามีกำลังซื้อจนสามารถทดแทนการส่งออกได้หรือ
หลายคนอาจบอกว่าเรายังมีทางออกคือ เราเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเข้ามาเที่ยว คำถามก็คือ เราจะยังคงหวังพึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีกนานแค่ไหน หากกำลังซื้อของคนต่างชาติหดหายไปเพราะทุกคนก็ล้วนตกอยู่ในชะตากรรมเลวร้ายไม่ต่างกันโดยเฉพาะหากเกิดเศรษฐกิจถดถอยพร้อมๆ กันทั่วทั้งโลกคำถามคือจะยังหลงเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้ออีกสักกี่คน แล้วเมื่อถึงวันที่เลวร้ายเช่นนั้น ไทยจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมาจุนเจือระบบเศรษฐกิจไทยหรือ
ฝากคำถามเหล่านี้ให้คนไทยทุกคนช่วยกันคิดและฝากคำถามนี้ให้รัฐบาลคิดแล้วเร่งหาทางแก้ไขวิกฤตโดยด่วน โปรดอย่ารอจนทุกอย่างสายเกินแก้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี