นางสาวมาห์ซา อามินี สัญชาติอิหร่าน เชื้อชาติเคิร์ด (ชนกลุ่มน้อย) อายุเพียงแค่ 22 ปี ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ขณะที่อยู่ภายใต้การกักขังควบคุมโดยฝ่ายตำรวจศีลธรรมของรัฐบาลศาสนานิยมอิหร่าน (Morality Police) โดย นางสาวมาห์ซา นั้นถูกจับกุมในข้อหาผิดกฎเกณฑ์หรือละเมิดกฎเกณฑ์ ว่าด้วยการโพกศีรษะด้วยผ้าคลุม (ฮิญาบ) ซึ่งฝ่ายทางการอิหร่านได้อ้างว่า สาเหตุการเสียชีวิตคือ หัวใจล้มเหลวอย่างกะทันหัน แต่ก็มีข่าวคราวเล็ดลอดออกมาว่า แท้จริงแล้วเธอได้ถูกทารุณกรรมอย่างโหดร้ายจนตาย
การณ์นี้ได้นำไปสู่ปฏิกิริยาต่อต้านรัฐบาลศาสนานำพาของอิหร่านอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนพลเมือง โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน และคนหนุ่มคนสาวทั่วประเทศต่อเนื่องกันมาจนบัดนี้ ซึ่งแม้ว่าทางการอิหร่านจะใช้ความรุนแรงเข้าควบคุม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 40 คน แต่ทางฝ่ายรัฐบาลก็ยังคงมุ่งมั่นในการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วงให้อยู่หมัดต่อไป ในขณะที่ประชาชนพลเมืองอิหร่านที่เหนื่อยหน่ายกับอาณาจักรแห่งความกลัว และความโหดร้ายทารุณ ก็ยังคงหลั่งไหลออกมาประท้วง ต่อต้าน และขับไล่รัฐบาลอิหร่านอย่างไม่ลดละไม่เบาบางลง
การตายของนางสาวมาห์ซา กลายเป็นประกายไฟของการต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ท่ามกลางอำนาจรัฐที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาล และพร้อมที่จะใช้ความรุนแรง และความโหดเหี้ยมเป็นเครื่องมือที่จะดำรงไว้ซึ่งอำนาจ และขจัดการต่อต้านใดๆ
ผู้นำอิหร่าน ซึ่งเป็นนักบุญศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ได้ควบอำนาจผู้ปกครองบ้านเมืองด้วยซึ่งการจะเป็นผู้นำทางศาสนา หรือจะเป็นผู้นำทางการเมืองก็ดี ภาระหน้าที่อันสำคัญก็คือ การปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์ศาสดา ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยคุณงามความดี (The goodness) แล้วไฉนผู้นำทางศาสนาจะมาปฏิบัติตนที่สวนทางกับคำสั่งสอนและความดีงามของอัลเลาะฮ์ ที่กล่าวสอนไว้ว่า เป็นการปฏิบัติที่เลวร้าย (The badness) อีกทั้งผู้ปกครองประเทศนั้นมีหน้าที่รับใช้ประชาชนพลเมือง มิใช่ผู้กดขี่ ข่มเหง และกระทำการตามอำเภอใจของตน เมื่อเป็นเช่นนี้บ้านเมืองจึงหาความสงบมิได้ แล้วสังคมอิหร่านจะอยู่กันด้วยความหวาดกลัว เกลียดชังและไม่ไว้ใจต่อกันและกัน ระหว่างผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครองไปอีกกี่น้ำ กี่ปี
โดยตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีเศษ ที่ฝ่ายผู้นำศาสนาได้ขึ้นมาปกครองประเทศ สังคมก็มิได้มีความราบรื่นแต่อย่างใด การเรียกร้องและประท้วงก็ปะทุขึ้นเป็นระยะๆ และล่าสุดก็คือกรณีของนางสาวมาห์ซา นี้ แสดงให้เห็นว่า ระบบการเมืองการปกครองแบบศาสนานำพา สร้างความถดถอยให้กับประเทศ สร้างความแตกแยกให้กับสังคม และสร้างความอยุติธรรม โดยเฉพาะสตรีเพศที่เป็นแม่ เป็นมารดาของบรรดาผู้นำของอิหร่านเหล่านี้
อีกมุมมองหนึ่งก็เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ความเป็นเผด็จการใดๆ นั้นสวนทางกับความรู้สึกนึกคิดขั้นพื้นฐานของประชาชนพลเมือง ที่ต้องการอยู่ในสังคมที่ปราศจากความหวาดกลัว และต้องการสังคมที่กายและใจสามารถที่จะเบิกบาน ที่เพียบพร้อมด้วยสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรม
ทั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอนิจจัง ไม่มีความยั่งยืน ซึ่งในวันนี้ผู้นำอิหร่านมีทางเลือก 2 ทาง นั่นคือดันทุรังอยู่ต่อไป หรือรอเผชิญกับการลุกฮือของประชาชนพลเมือง ซึ่งหากผู้นำจะมีสติสักหน่อยก็น่าที่จะคิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแก้ไขสถานการณ์ได้โดยอย่างน้อยก็น่าจะเริ่มต้นที่การปรับปรุงเรื่องความทัดเทียมระหว่างเพศชาย กับเพศหญิง โดยการยกเลิกการจำกัดจำเขี่ย การกดดันกดขี่ เพศหญิงทั้งปวง เพราะไม่มีคำสั่งสอนใดๆ ที่ระบุว่า เพศหญิงนั้นมีสถานะต่ำต้อยกว่าเพศชาย การตีความหรือเหมารวมว่า เพศชายเหนือกว่าเพศหญิงนั้นเป็นนวัตกรรมที่คิดเองเออเอง แถมยังโหดร้ายทารุณอีกด้วย ก็ไม่เป็นการที่ถูกต้อง เป็นการละเมิดและบ่อนทำลาย The goodness
ก็หวังว่า การจากไปของนางสาวมาห์ซา จะไม่เสียเปล่า แต่จะเป็นศูนย์รวมพลังให้กับชาวอิหร่านในการที่จะปลดแอกจาก badness ทั้งปวง และนำมาซึ่ง witness ในสังคมอิหร่านในที่สุด
ขอคารวะต่อการจากไปของ นางสาวมาห์ซา อามินี และขอให้การต่อสู้ของเธอได้จุดประกาย นำพาสังคมอิหร่านไปในทิศทางที่ดีขึ้นในเร็ววัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี