เท่าที่ติดตามการรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศพบว่านักข่าวเจ้าประจำที่มักรายงานข่าวในแง่ลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เงียบหายไปนานพอสมควรแต่พอมีข่าวว่าบรรณาธิการข่าวบีบีซีภาษาไทยที่เคยทำรายงานพิเศษอันมิบังควรเรื่องพระราชประวัติไม่เป็นทางการของ ในหลวง รัชกาลที่ ๑๐ เมื่อปลายปี ๒๕๕๙
บก.ข่าวบีบีซีภาษาไทยคนนั้น ก็หายตัวจากเมืองไทยไปอยู่ลอนดอนตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๐ และเพิ่งกลับมาเมืองไทย ทำตัวโลว์โปรไฟล์อยู่แถวอาคารมณียา
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ตั้งแต่นั้นมาสื่อต่างประเทศ ที่มักเสนอข่าวแซะสถาบัน ต้องการให้ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒
เริ่มกลับมารายงานข่าวแซะสถาบันอีกประปราย
ล่าสุด นายโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซี ประจำภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเคยถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหาละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ พร้อมกับ นายจักรภพ เพ็ญแข คนสนิท และผู้ประสานงานกับสื่อต่างประเทศของนายทักษิณ
นายโจนาธาน เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวแซะสถาบันฯโดยการทวิตเตอร์ข้อความว่า
“ในขณะที่ชาวอังกฤษต่างพากันแสดงความเคารพแสดงความอาลัยต่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจักรซึ่งเสด็จสวรรคตอย่างสงบเมื่อวันที่ ๘ ก.ย.แต่ที่นี่ (ประเทศไทย)ยังมีการกดขี่ผู้ที่พูดคุยถกเถียงกันถึงการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่เป็นที่ชัดเจนว่าการถกเถียงกันถึงสถาบันกษัตริย์ในประเทศอังกฤษมีเสรีภาพมากกว่าประเทศไทย”
เมื่อทวิตเตอร์ ข้อความเช่นนั้นแล้ว นายโจนาธานก็แนบข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ส ที่รายงานข่าวพาดหัวตัวใหญ่ว่า “นักกิจกรรม(การเมือง) ถูกตัดสินจำคุก ๒ ปีในความผิดดูหมิ่นสมเด็จพระราชินี..”
สำนักข่าวรอยเตอร์ส ให้รายละเอียดว่า ศาลไทยตัดสินจำคุกนักกิจกรรม ๒ ปี เมื่อวันที่ ๑๒ ก.ย.ในความผิดหมิ่นประมาทพระราชวงศ์ จากที่นักกิจกรรมคนนั้น แต่งชุดไทยประท้วงบนถนน รอยเตอร์สอ้างคำพูดของ นายกฤษฎางค์ นุชจรัส ทนายความของจำเลยว่า “ศาลพิจารณาว่าลูกความของผมล้อเลียนดูหมิ่นสมเด็จพระราชินี ซึ่งเราคิดว่าจะอุทธรณ์เพราะลูกความของผม นิว หรือ จตุพร แซ่อึ้ง ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยเธอให้การว่าเธอชอบแต่งชุดไทยซึ่งทำให้เธอมั่นใจเมื่อปรากฏตัวในที่สาธารณะ”
สำนักข่าวรอยเตอร์ส ไม่ได้นำเสนอถึงพฤติกรรมของกะเทยแปลงเพศคนนั้น ที่แต่งชุดไทยสีชมพูเดินบนพรมแดง ตกแต่งเครื่องประดับ ถือกระเป๋าเลียนแบบล้อเลียนขณะที่เธอเดินเลียนแบบบนพรมแดงผู้ประท้วงที่ร่วมกันแสดงนั่งพับเพียบอยู่สองข้างทาง แล้วส่งเสียงตะโกน ทรงพระเจริญ เป็นระยะๆ
แต่รอยเตอร์สกลับไปให้รายละเอียดว่า การประท้วงทำนองนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ ซึ่งคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เห็นว่า ถึงเวลาต้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนั้น รอยเตอร์สอ้างคำปราศรัยของกลุ่มต่อต้านสถาบันรายงานว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ ได้เปลี่ยนแปลงการถือครองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และมีทหารส่วนพระองค์สอง unit (ใช้คำ unit ให้ก่ำกวมว่าเป็นกองร้อย กองพล หรือกองพัน)
นอกจากนั้นรอยเตอร์ส ยังรายงานอ้างคำพูดของทนายความว่าตั้งแต่มีการประท้วงให้ปฏิรูปสถาบันฯมีผู้ประท้วงถูกดำเนินคดีอาญามาตรา ๑๑๒ แล้วอย่างน้อย ๒๑๐ คน ในรายงานยังเน้นด้วยว่าความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทยมีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลกบทลงโทษสูงสุดคือจำคุกสูงสุด ๑๕ ปี
นอกจากเสนอข่าวแต่ในแง่ลบแล้วรอยเตอร์ส ไม่ได้เสนอในแง่มุมที่ชั่วช้ากักขฬะ หยาบช้า ของกลุ่มคนที่ต่อต้านสถาบันฯ และ ไม่ได้เสนอความจริง
ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาตัดสินแล้วว่าคนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมล้มล้างสถาบันฯ และการเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
กรณีกะเทยแปลงเพศแต่งชุดไทยล้อเลียนพระราชวงศ์ ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก สำนักข่าวต่างประเทศนำมาขยายความ โจมตีสถาบันโดยมิบังควรอีกมากมาย แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาเผยแพร่ซ้ำ คอลัมน์นี้ทำได้เพียงเตือนสติคนไทยว่าสื่อฝรั่งที่มีอาชีพหลักคือการโจมตีสถาบันที่เงียบหายไปนานเริ่มหวนกลับมาขอให้คนไทยผู้จงรักภักดีจับตาดูคนพวกนี้ให้ดี
เมื่อพูดถึงสำนักข่าวต่างประเทศ ที่มักเสนอข่าวโจมตีสถาบันหลักของชาติ ผู้เขียนในฐานะที่เป็นคนไทย เคยทำงานกับสำนักข่าวต่างประเทศมานานกว่าสี่ทศวรรษ ขออนุญาตทำความเข้าใจถึงนโยบายของสำนักข่าวต่างประเทศที่มีมาตรฐานว่า โดยหลักการแล้วสำนักข่าวต่างประเทศจะไม่รายงานข่าวที่มีความสนใจเฉพาะในประเทศไทย เช่นข่าวกะเทยแปลงเพศแต่งตัวล้อเลียนราชวงศ์ หรือข่าวนักการเมืองพรรคนั้นโจมตีพรรคนี้เพราะเรื่องเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องที่มีคนสนใจอยู่ในวงจำกัดของประเทศไทย และสื่อท้องถิ่นได้เสนอข่าวนั้นกันแพร่หลายอยู่แล้ว
หน้าที่หลักของสำนักข่าวต่างประเทศคือ เสนอข่าวที่มีความสนใจทางสากล ออกจากประเทศที่มีสำนักข่าวงานอยู่ไปให้คนนอกประเทศนั้นๆ ทั่วโลก
ได้อ่าน ดังนั้นข่าวที่ออกจากประเทศไทยต้องเป็นข่าวใหญ่และข่าวสำคัญเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่เกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติ หลักการสำคัญของสำนักข่าวต่างประเทศที่ถือปฏิบัติกันมาคือนำข่าวที่เป็นทางการมานำเสนอเท่านั้น สำนักข่าวต่างประเทศที่มีหลักการมีจรรยาบรรณจะไม่นำข่าวลือข่าวที่ตรวจสอบไม่ได้เกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติมานำเสนอ
จากประสบการณ์ตรงที่พบมาเมื่อปี ๒๕๔๐ สำนักงานใหญ่ในลอนดอนส่งข้อความมายังสำนักข่าวรอยเตอร์สในกรุงเทพฯให้รายงานข่าว เรื่องที่มีกระแสข่าวว่าผู้ถูกยึดอำนาจที่แวะพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษได้ติดต่อกับครอบครัวหนึ่งซึ่งเคยมีความสำคัญในราชวงศ์ไทยขอร้องให้ร่วมมือทำอะไรบางอย่าง
ตอนนั้น เควิน คูนี่ เป็นหัวหน้าสำนักข่าวรอยเตอร์ส ประจำประเทศไทย ตอบข้อความกลับไปว่า“นั่นเป็นข่าวลือเป็นการสร้างกระแสที่ไม่น่าสนใจและตรวจสอบไม่ได้ ที่สำคัญเรามีหลายปากหลายท้องต้องเลี้ยงดูในประเทศไทย” (we have many mouths to feed here)
สมัยที่ผู้เขียนทำงานกับสำนักข่าวรอยเตอร์สคืนวันที่ ๔ ธันวาคมของทุกๆ ปี ต้องเข้าเวรฟังกระแสพระราชดำรัสของ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งถือเป็นวันสำคัญ ที่ต้องนำกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมารายงานข่าวออกไปทั่วโลกจำได้ว่ากระแสพระราชดำรัสเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” (SufficiencyEconomy) กับพระราชดำรัส “โครงการแก้มลิง”(Monkey Cheek Project) รอยเตอร์ส นำมาขยายความเป็นข่าวได้หลายปี
ผู้เขียนลาออกจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส เนื่องจากว่า รอยเตอร์สหุ้นตกจากราคา ๑๗ ปอนด์มาอยู่ที่ ๑.๕ ปอนด์ในปลายปี ๒๕๔๓ จนรอยเตอร์สถูกเทคโอเวอร์ โดยบริษัททอมสันของแคนาดาถ้าสังเกตให้ดีตอนนี้โลโก้ของรอยเตอร์ส มีคำว่า“ทอมสันรอยเตอร์ส”
เมื่อผู้เขียนย้ายจากรอยเตอร์สไปเป็นฟรีแลนซ์ ให้สำนักข่าวเอพี ทอมสัน รอยเตอร์สมีนักข่าวรุ่นใหม่ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ถูกยึดอำนาจถึงขนาดบินไปสัมภาษณ์ผู้ถูกยึดอำนาจในต่างประเทศเมื่อปี ๒๕๕๐ แล้วนำเอาคำสัมภาษณ์มาแจกจ่ายให้กับสื่อไทยทั่วไปซึ่งผิดประเพณีปฏิบัติของสำนักข่าวต่างประเทศที่ได้สัมภาษณ์พิเศษแล้วจำกัดเสนอข่าวจากสำนักตัวเองเท่านั้น
จึงอนุมานว่านักข่าวคนนั้น กลายเป็น ประชาสัมพันธ์ของผู้สูญเสียอำนาจ ที่พยายามดิ้นรนให้ตนได้กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกมากว่า ๑๔ ปี
เท่าที่สังเกตดูผู้สื่อข่าวรุ่นใหม่ที่เป็นคนไทยในทอมสันรอยเตอร์ส มักเสนอข่าวเข้าข้างฝ่ายต่อต้านสถาบันฯ เสนอข่าวเข้าข้างฝ่ายต่อต้านมาตรา ๑๑๒ และเสนอข่าวแซะสถาบัน ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
จึงพิเคราะห์เอาเองว่า ปัจจุบันนี้สำนักข่าวต่างประเทศที่เป็นของชาติตะวันตก ตกต่ำลงไปมากตามภาวะเศรษฐกิจของทวีปนั้นและนี่คงเป็นสาเหตุให้นักข่าวหย่อนยานเรื่องจรรยาบรรณ การเสนอข่าวระยะหลังจึงถือฝักถือฝ่ายไม่ว่าจะเป็นประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ข่าววิกฤตการเมืองในเมียนมาและข่าวเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย
การหย่อนยานในจรรยาบรรณของสำนักข่าวตะวันตกที่เคยมีมาตรฐานจะเป็นเพราะมีรายได้เสริมหรือไม่ยังไม่อาจพิสูจน์ได้จึงต้องถามดังๆ ว่าสำนักข่าวต่างประเทศที่มักแซะสถาบันต้องการอะไร?
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี