การ “คงอยู่” และ “ไปต่อ” บนถนนการเมืองของ“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกจับตามองอย่างยิ่ง โดยมีทั้งคนที่อยากให้ “อยู่ต่ออีก” และอยากให้ “พอเถอะ”
พวกที่อยากให้อยู่ต่อ คือพวกที่ “หวังผล” จากการมี “ลุงตู่” อยู่ในสมการการเมือง ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
ก) พวกที่ต้องอาศัยคะแนนนิยมของ “ลุงตู่”มาช่วย ซึ่งแม้กระแสและความนิยมของลุงตู่จะลดลง แต่ก็ยังมากกว่าอีกหลายๆ คนในเวทีแข่งขันทางการเมือง
ข) พวกที่ต้องอาศัย “แรงเกลียด” พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อใช้กลยุทธ์ “ขจัดประยุทธ์ หยุดเผด็จการสืบทอดอำนาจ” เลือกฝ่ายประชาธิปไตย จงเทคะแนนให้เรา
“ลุงตู่” หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็น “ตัวเติมคะแนน” ให้แก่ทุกฝ่าย เพียงแต่เติมให้ฝ่ายไหนง่ายและมากกว่ากันเท่านั้น
เวลานี้ ผู้คนพากันคาดเดาและประเมินว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ไปต่อ” กับพรรคพลังประชารัฐ หรือจะย้ายไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ก่อตั้งโดย “แรมโบ้อีสาน” ครั้นแรมโบ้ สะดุด “หวย” จนหัวทิ่มจาก “คลิปเสียงหลุด” พรรคก็ถูกส่งต่อมายัง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” สองพรรคนี้จึงมีสภาพการก่อเกิดแบบเดียวกัน คือ รองรับ พล.อ.ประยุทธ์และอาจเรียกว่า อาศัยส่งเสริม พล.อ.ประยุทธ์ ได้ด้วยเช่นกัน
และขณะนี้ ดูเหมือนว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังมีปฏิบัติการที่ไม่ต่างจากพรรคพลังประชารัฐเมื่อแรกตั้ง คือ ดึง ดูด และกดดัน นำคนมารวมกันทั้งคนที่อุดมการณ์เหมือนกัน คนที่ต้องการโอกาส และคนที่ “ถูกเชื้อเชิญ” ให้มา “ช่วยชาติ” โดยมีอดีตนายทหารไป “หว่านล้อม”
ต้องไม่ลืมว่า ทั้งสองพรรคยังตั้งอยู่บนฐานคะแนนเดิม กองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มี“เพิ่มขึ้น” มีแต่ “ลดลง” การแยกกันเดิน รวมกันตี จึงไม่ได้มีผลกระทบกับฝ่ายตรงข้าม มีเพียงผลกระทบกับฝ่ายเดียวกัน ด้วยการหาวิธี “เกลี่ยคะแนนใหม่”เท่านั้นเอง
กองเชียร์ลุงตู่ ที่ขวางหูขวางตาคนในพลังประชารัฐก็แค่สบายใจขึ้นที่จะเลือกลุงตู่ต่อไป ผ่านการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติ ส่วนแฟนพันธุ์แท้ออร์แกนิกของ “นักการเมือง” ที่ยึดอยู่กับ“ตัวบุคคล” และ “พื้นที่” ที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” ก็คงเลือกคนเดิมๆ ต่อไป
โดยส่วนตัวผม นึกไม่ออกเลยว่า การอยู่ต่อกับพลังประชารัฐ หรือการย้ายมาอยู่กับรวมไทยสร้างชาติ จะเป็นทางส่ง “ลุงตู่” ขึ้นสู่ “เก้าอี้นายกฯ”ได้อีกอย่างไร ในเมื่อฝั่งเดียวกัน ทั้งสองพรรคต้องฝ่าด่าน “ภูมิใจไทย” ให้ได้ก่อน นั่นหมายความว่า พรรคพลังประชารัฐ + พรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องมีจำนวน สส. มากกว่าพรรคภูมิใจไทย จึงจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยต้องรวมภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า และอาจต้องใช้บริการ “หญิงหน่อย” แห่ง “ไทยสร้างไทย”มาช่วยด้วย ยังไม่รวม “สร้างอนาคตไทย” ของเฮียกวงอีก
แต่ต้องนับหนึ่งที่พรรคหลักดันลุงตู่สู้เก้าอี้นายกฯ ต้องได้ สส.มากที่สุดในกลุ่มนี้ และกลุ่มนี้รวมกันต้องมากกว่าพรรคเพื่อไทย รวมกับพรรคก้าวไกล เสรีรวมไทย และอื่นๆ
1) นพ.ระวี มาศฉมาดล สส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังธรรมใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า เชื่อว่าน้ำหนักที่สำคัญในการชี้ชะตาการเมืองไทยยังอยู่ที่ 3 ป.ถ้าทั้ง 3 คนยังผนึกกำลังกันแน่นได้ โอกาสที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะไปจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทั้ง 3 คนแตกกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ในการเมืองไทย วันนี้ต้องยอมรับว่า เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา3 ป. ยังผนึกกำลังกันแน่น และพรรคพลังประชารัฐก็มีความพร้อมทั้งกระแส กระสุน และเครือข่าย แต่ครั้งนี้ต้องกระสุนของพลังประชารัฐยังเต็มที่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐยังจับมือกัน แต่กระแส และเครือข่าย ไม่เหมือนเดิมแล้ว
นพ.ระวีกล่าวต่อว่า มองว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ โดยอาจจะเป็นการเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ 2 ปีแรก และให้ พล.อ.ประวิตร เป็นอีก 2 ปีหลัง ถ้าเป็นแนวทางนี้อาจจะยังมีอำนาจที่อาจจะรวมกันแล้วชนะพรรคเพื่อไทยได้ในการจับมือตั้งรัฐบาล
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ นพ.ระวี กล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ผนึกกับพรรคนี้จริง 3 ป.ก็สูญพันธุ์ แต่รวมไทยสร้างชาติอาจได้ สส. สัก 50 คนเพราะเชื่อว่า สส.ของพรรคพลังประชารัฐจะไหลมาอยู่พรรคนี้ ซึ่งจะทำให้ผลการเลือกตั้งของทั้งพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ ไม่ประสบความสำเร็จถึงสุดท้ายอาจจะกลับมาจับมือกันได้ แต่ก็แพ้พรรคเพื่อไทยแน่นอน
“ผมยังเชื่อว่าจะมีการยุบสภาหลังเดือน ก.พ.เพราะรัฐบาลยังต้องรอเวลาเพื่อจะแก้สถานการณ์ และต้องรอให้ สส.ได้ย้ายพรรคให้สะดวก ก็จะต้องยุบสภา เพราะจะสามารถย้ายพรรคได้ใน 30 วันกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรไม่สามารถตกลงกันได้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปอยู่อีกพรรคหนึ่ง ก็จะต้องให้เวลา สส.ได้ย้ายพรรคก่อน วันนี้ถ้าทั้ง 3 คนยังไม่สามารถจับมือกันให้แน่นได้ อำนาจทางการเมืองในหมู่ทหาร ตำรวจ จะลดลงทั้งหมด ข้าราชการก็จะรอแล้วว่านายใหม่จะเป็นใคร ถ้าทั้ง 2 บิ๊กยังตกลงกันไม่ได้ ผมพูดได้คำเดียวว่า 3 ป.สูญพันธุ์”
2) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) มองว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ สส.ก็ห่างกันไปเรื่อยๆ และเมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามา พล.อ.ประยุทธ์ก็เริ่มไม่แน่ใจว่าพรรคพลังประชารัฐ จะเสนอชื่อตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จึงต้องหาทางสำรองไว้ก่อนคือการให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติขึ้นมา แต่หากคุยกับ พล.อ.ประวิตรได้ก็คงจะยอมอยู่ในพรรคพลังประชารัฐต่อไป แต่ถ้าคุยไม่ได้ก็ต้องไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ
“ส่วนตัวผมมองว่า คงจะแน่นอนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร จะต้องแตกหักและแยกทางกัน และทั้ง 2 พรรคก็คงไปไม่ได้ทั้งคู่”
ถ้าหากแยกกันเดินแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร ใครจะมีอำนาจมากกว่ากันนั้น อย่าไปสนเลย แยกกันเดิน ไม่มีอำนาจทั้งคู่ เพราะพรรคอื่นเขามี สส.มากกว่า ก็ต้องเสนอชื่อคนที่เขาชูขึ้นเป็นนายกฯ
“เชื่อว่า สองพรรคนี้ไม่ได้เป็นที่หนึ่งหรอก ให้คนอื่นเขาจัด ถามว่า สว. 250 คน จะเลือกหมดหรือ ต่อให้เลือกหมดก็บริหารต่อไม่ได้ เพราะจำนวน สส.ฝ่ายประชาธิปไตยเกินครึ่ง ผมเชื่อว่าอย่างไรฝ่ายประชาธิปไตยก็ได้ สส.เกินครึ่ง เมื่อเกินครึ่งแล้วต่อให้ สว.เลือก พล.อ.ประยุทธ์หรือ พล.อ.ประวิตรเข้าไปก็บริหารไม่ได้ เพราะอยู่ในสภาเสียงไม่ถึงครึ่ง ทำอะไรไม่ได้ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ล้มแล้ว” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
3) “เปลว สีเงิน” คนปลายซอย แห่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วิเคราะห์ไว้อย่างโรแมนติกแต่ชวนคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร แยกกันนั้น เป็น “ยุทธศาสตร์” แบบหนึ่ง โดยเปลวกล่าวว่า
“...ว่ากันที่จริง การที่พลเอกประยุทธ์“จะอยู่-ไม่อยู่” กับพลังประชารัฐ ต่อให้กับพรรคไหนๆ ทุกพรรคด้วย หลังจากรัฐบาลครบเทอมแล้วค่าไม่ต่างกันเลย! ทุกคนก็รู้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ชี้ขาดแล้ว “๘ ปีในตำแหน่งนายกฯ” ของลุงตู่นั้นนับจากปี ๒๕๖๐ ฉะนั้น ถ้าจะสมัครเป็นนายกฯ ในบัญชีเลือกตั้งของพรรค ในการเลือกตั้งปี ๖๖ สมมุติเลือกตั้งแล้ว ที่รัฐสภาโหวตให้ลุงตู่เป็นนายกฯ อีกสมัย ก็เป็นได้แค่ ๒ ปี ต้อง “ลงจากตำแหน่ง” กลางคัน!
ทุกคน ลองสมมุติตัวเองเป็น “หนุ่ม-สาว”คู่หนึ่ง ที่กำลังจะแต่งงาน ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลดูซี สมมุติคุณเป็นฝ่ายหญิงก็แล้วกัน ก่อนตกลงปลงใจ ก็พากันไปตรวจร่างกาย ผลออกมาปรากฏว่า “ฝ่ายชายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย” จะมีชีวิตอยู่ได้แค่ ๒ ปี แล้วคุณจะแต่งงานด้วยมั้ย? กรณี “น้องเล็ก” กับ “พี่ใหญ่” ก็ทำนองนั้น
ทำนองเดียวกัน พลเอกประยุทธ์ ท่านก็ต้องคิดเหมือนกัน ๒ ปีนั้น อยู่-ช่วยสร้างพรรค หรืออยู่-ขวางทางพรรค ถ้าประกาศ “รับเป็นว่าที่นายกฯ”ของพรรค แทนที่จะเป็นจุดแข็งของพลังประชารัฐกลายเป็นจุดให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้่นมาทิ่มแทงในการหาเสียงทันที!
เรื่องนี้ มันคงจบแบบ “รักแท้คือการเสียสละ” นายกฯ รักพี่ใหญ่ ก็คงเปิดทางสะดวกให้พี่ใหญ่ “เอาที่สบายใจ” ไม่น่าจะรับเป็น “ว่าที่นายกฯ” พรรคในครั้งหน้า ด้วยเหตุผล ๒ ทาง ทางแรก อายุเหลือ ๒ ปี ลงไปมีแต่ครหา ทั้งจะได้หรือไม่ก็๕๐/๕๐ ฉะนั้น เปิดทางให้พี่ใหญ่ “เลือกตัวชู” ตามสบายใจดีกว่า ทางที่สอง พิสูจน์ใจแต่ละก๊ก-แต่ละฝ่ายในพรรคไปเลยว่า “ใครอยู่-ใครไป”
การส่งเสริม “พี่ใหญ่” ได้เปล่งศักยภาพขึ้นทาบตำแหน่งนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐเต็มตัวในศึกเลือกตั้ง นั่นคือ “การเสียสละ” อย่างมียุทธศาสตร์! แล้ว “ลุงตู่” เอาความเป็นไทรใหญ่ไปเป็นร่มเงาบังแดดให้ไม้อ่อนอย่าง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ได้ยืนต้นในพรรษาแรกของการเลือกตั้ง มีสีสัน “ท้าทาย” สร้างความตื่นตา-ตื่นใจได้มากกว่า!
“ว่าที่นายกฯ” แต่ละพรรคมีได้ 3 คน ถ้าอยากยั่วพวกพรรคปากกล้าแต่ขาสั่น เอาชื่อลุงตู่แซมลงไปให้ผวากันเล่นๆ สักคนก็ได้ ส่วนอีก 2 คือ “คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค “ตัวยืน” กับอีกคน จะเป็นใครก็แล้วแต่ รับรอง เลือกตั้ง “ตลาดแตก”!
“ลุงป้อม” กับ “ลุงตู่” ในความเป็น “กลุ่มเดียวกัน” แต่ในตลาดเลือกตั้ง “คนละตลาด” กันเลย ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเรื่อง “แย่งคะแนน” กันเอง ตรงกันข้าม “แฟนใคร-แฟนมัน” จะตัดสินใจเลือกได้ชัดเจนด้วยซ้ำ แบบนี้ ไม่ใช่การแตก“แบงก์ร้อย-แบงก์พัน” แต่มันเข้าลักษณะ “แยกแนวรบ-บรรจบที่ปักธง”!
สรุป : ยังต้องติดตามกันหลังเอเปก ว่า “ลุงตู่” จะอยู่ที่ไหน นั่นคือการ “หงายไพ่” หมดทั้งมือ จากนั้นจะวิเคราะห์ “ทางเลือก-ทางอยู่-ทางไป” ของการเมืองไทยได้ง่ายขึ้นครับ !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี