นักการเมืองไทยคนใดที่ได้มีโอกาสเข้ามาบริหารบ้านเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีนั้น ถือว่าแสนจะโชคดี เมื่อเทียบกับบรรดาผู้นำของประเทศอื่นๆ ร่วมร้อยกว่าประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ก็เพราะเมืองไทยเรานั้นแสนจะดี และเป็นบุญตกหล่นให้กับบรรดาผู้นำทางการเมืองของไทยมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้ว่า
1.เมืองไทยมีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ แถมมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก และการสัญจรไป-มาระหว่าง 2 คาบสมุทรใหญ่คือ มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งก็ตั้งอยู่ในพื้นแผ่นดินระหว่างทวีปเอเชีย กับทวีปออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก
2.ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านต่างมีภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเรื่องแผ่นดินไหว เรื่องคลื่นสึนามิ เรื่องภูเขาไฟพ่นควัน คลื่นพายุ ลม และฝนต่างๆ เป็นเนืองนิตย์ แต่บ้านเมืองไทยเราจัดได้ว่าเป็นแผ่นดินที่ปลอดภัย หรือหากจะมีภัยพิบัติก็มักจะไม่รุนแรง ไม่น่าสะพรึงกลัว
3.พลเมืองไทยมีความเก่งกล้าสามารถมาแต่โบราณ อย่างเกษตรกรไทยมีความเป็นเลิศ ทำให้เมืองไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ส่วนยุคใหม่ แรงงานไทยมีฝีมือเป็นที่ยอมรับไปทั่วภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิกและทั่วโลก ธุรกิจเอกชนไทยเรียนรู้และปรับตัวได้เร็ว เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ได้อย่างสง่างาม อีกทั้งคนไทยก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับดูแลอาคันตุกะจากต่างประเทศอย่างเป็นที่เลื่องลือนิยมชมชอบ
4.ระบบข้าราชการของไทยก็ไม่เป็นรองใครในหมู่มวลประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน โดยเฉพาะระบบการบริการทางด้านการแพทย์ และการสาธารณสุขนับว่าอยู่ในระดับชั้นนำของโลกทีเดียว อีกทั้งสาธารณูปโภคต่างๆ ก็ค่อนข้างทั่วถึงและได้ระดับ
ซึ่งรวมความแล้ว เมืองไทยเรานั้นสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้ โดยที่แม้ว่ารัฐบาลไทยหนึ่งใดจะไม่มีฝีมือ ขาดวิสัยทัศน์ แต่เศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าไปด้วยตนเองได้ โดยมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจพื้นฐานในระดับ 3-4% โดยไม่ต้องไปพึ่งฝีไม้ลายมือของผู้นำทางการเมืองแม้แต่อย่างใด
ด้วยที่พื้นฐานประเทศขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง ทำให้บรรดาผู้นำทางการเมืองไทยในยุคหลังๆ มักจะเอาวิธีการบริหารบ้านเมืองแบบเอาง่ายเข้าใส่ ด้วยหลักและวิธีการประชานิยม เพื่อเอาใจประชาชนพลเมืองไปวันๆ หนึ่ง เพื่อตรึงการประท้วง และการต่อต้านใดๆ ยิ่งในเรื่องความเห็นต่างจากการบ้านการเมือง ก็มักจะหลีกเลี่ยงการรับฟังไม่เปิดเวทีเพื่อพูดจาหารือ หาทางออก หาข้อยุติร่วมกันเพราะคุ้นเคยกับการใช้อำนาจรัฐ และการใช้กฎหมายกฎเกณฑ์กติกาบ้านเมือง เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการขจัดความเห็นต่าง และการต่อต้านทั้งหลายทั้งปวง
ที่บริหารงานแบบขอไปทีได้แบบนี้ ก็เพราะผู้นำทางการเมืองของไทยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
ต่อการอยู่ในอำนาจ เนื่องจากไม่ได้มีแรงกดดันที่หนักหน่วงอย่างเช่นที่ผู้นำประเทศอื่นๆ จะต้องเผชิญกันอยู่ตลอดเวลา นอกจากการชิงไหวชิงพริบ ทรยศ หักเหลี่ยมเฉือนคมจากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลกันเอง ส่งผลให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยๆ เช่นในอดีต ที่ทำลายเสถียรภาพรัฐบาลเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อได้เกิดการร่างกติกาให้เอื้ออำนวยต่อการอยู่ในอำนาจของนายกฯ และสยบการต่อรองภายในรัฐบาลได้ ก็ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินกับอำนาจวาสนา จนติดอกติดใจ อยากอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นับว่าเป็นแบบอย่างของนักการเมืองที่ติดงอมแงมกับอำนาจวาสนา ดูได้จากแม้จะมีกฎเกณฑ์กติกาว่าด้วยการจำกัดจำนวนปี (8 ปี) ที่คนไทยหนึ่งใดจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นั้น แต่เมื่อดูอากัปกิริยาของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะยืดอกทำตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่พรรคพวกตนเองขีดเขียนไว้แต่อย่างใด โดยเลือกที่จะอาศัยช่องทางกฎหมาย จนศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้นับวันเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยวันที่ที่มีการประกาศการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ผลก็คือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยังสามารถอยู่ในอำนาจได้ต่อไปจนครบวาระนี้ รวมถึงยังมีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง (ซึ่งวาระต่อไปก็จะอยู่ในตำแหน่งได้อีกประมาณ ปีครึ่ง) โดยรวมดูแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คงจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นนายกฯ ที่อยู่ในอำนาจนานที่สุดของประเทศไทย ทั้งหมดทั้งปวงก็สะท้อนให้เห็นถึงความเพลิดเพลินในการดำรงอำนาจบริหารประเทศนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของความอยากของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งคงมีหลายฝักหลายฝ่ายในสังคมไทยต้องการตอบสนอง ต้องการให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีไปอีกนานๆ ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ต่างกันไปตามแต่ประโยชน์ของกลุ่มก๊วนตน ซึ่งประเด็นที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้สนับสนุนทั้งหลายลืมคิด และแกล้งไม่ยอมคิดถึง ก็คือ 8 ปีที่ผ่านมาที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ครองอำนาจรัฐ ด้วยพลังอำนาจกองทัพ และการขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล ได้ทำอะไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันที่ได้นำพาให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่ทันสมัยทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างแท้จริงหรือไม่?
หากพิจารณาให้ดี ก็จะเห็นได้ว่า 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นย่ำอยู่กับที่ ถูกมองข้าม ถูกลืมเลือน ถูกตีค่าว่าไม่มีความสำคัญ จากการที่ผู้นำประเทศคิดเองเออเองชมตัวเอง ยกย่องตัวเอง โดยมีบรรดาผู้สนับสนุนใช้อารมณ์เป็นตัวตั้ง พร้อมจะเออออห่อหมกไปกับพลเอกประยุทธ์ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายต่อสังคมไทย และทำความเสียหายให้กับสังคมไทยไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัวกัน
โลกมองไทยอย่างไร คงไม่ต้องออกไปค้นหาที่วอชิงตัน ดี.ซี. ที่ลอนดอน ที่บรัสเซลส์ ที่อาดดิสอาบาบา ที่โตเกียว หรือที่มะนิลา เราคนไทยสามารถที่จะค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง เพียงแค่เปิดใจรับฟังจากบรรดาผู้สื่อข่าวต่างประเทศ จากคณะทูต จากหน่วยงานของสหประชาชาติ และเครือข่าย จากหอการค้าต่างประเทศ จากแวดวงองค์การภาคประชาสังคม หรือองค์การที่มิใช่รัฐจากต่างประเทศ ที่ต่างมาทำหน้าที่ของตัวในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด
ข้อเท็จจริงเฉพาะหน้าวันนี้ก็คือ เมื่อดูในละแวกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ชาวโลกเขาอยากจะไปข้องแวะกับสิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซียมากกว่าประเทศไทย ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ผู้นำของประเทศเหล่านั้น เขารู้เรื่อง และพูดจาเป็นเรื่องเป็นราว สัญญาอะไรไว้ ก็ลงมือทำให้เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้เจื้อยแจ้วไปเรื่อยถึงหลักชัย หมุดหมายต่างๆ ของประเทศ ที่ไม่ได้มีการวางแผนเป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งลงมือทำอย่างจริงจังอย่างที่ผู้นำไทยประกาศมาเรื่อยๆ ตั้งแต่รับตำแหน่ง โดยเฉพาะสิ่งที่จะเป็นกระดูกสันหลังของการพัฒนาชาติไทยระยะยาว อย่างแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่วันนี้ยังไม่มีใครรู้ถึงจุดหมายปลายทางของแผนจริงๆ ว่าอีก 20 ปีประเทศไทยจะเดินหน้าไปเป็นอะไร ส่งผลให้ไม่มีแผนปฏิบัติที่จับต้องได้ ซึ่งนำไปสู่การไร้ทิศทางของการพัฒนาประเทศมาจนวันนี้
แต่ทั้งหมดทั้งปวง ที่ประเทศไทยยังไม่ล่มจม แม้จะมีผู้นำที่ไร้ฝีมือในการบริหารเศรษฐกิจอย่างยาวนาน ก็คงไม่พ้นที่จะต้องขอบคุณบรรพบุรุษไทย ที่เลือกชัยภูมินี้ในการตั้งประเทศไทย ประเทศที่ไร้ภัยพิบัติใหญ่โต ดินน้ำอุดมสมบูรณ์ ท่องเที่ยวหลากหลาย เศรษฐกิจเดินหน้าไปเองเรื่อยๆ ด้วยตัวมันเองได้ จากผลิตผลทางการเกษตร การท่องเที่ยว และฝีมือแรงงานไทย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี