ในช่วงเตรียมจัดงานประชุมเอเปก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีทุจริตประพฤติมิชอบอยู่ต่างแดน ได้โจมตีประเทศไทยว่าไม่มีความพร้อมในการจัดประชุมเอเปก
ทั้งด้อยค่า ดูหมิ่น ถากถางรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
“...อย่าเป็นเลยเจ้าภาพเอเปก เพราะเป็นแล้วไทยไม่มีความพร้อมสูงมากกับภาวะการประชุมเอเปก ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศสมาชิกสูงมาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องคล่องตัว และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน กลัวรับมือไม่อยู่ เพราะกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงกระทรวงการคลังของไทยไม่แข็งแรง ยิ่งนายกรัฐมนตรียิ่งไปกันใหญ่ โดยเฉพาะการประชุมครั้งนี้ไม่ปกติ จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย ซึ่งอาจขยายความขัดแย้งไปยังเวทีการประชุมอื่น...” – นายทักษิณกล่าว ในคลับเฮ้าส์กลุ่มแคร์
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ยังสำทับด้วยว่า “การจัดการประชุมเอเปก เป็นเรื่องที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างมาก แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่า การประชุมเอเปกที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ รัฐบาลมีการเตรียมความพร้อมทั้งในแง่ของเนื้อหาสาระ พิธีการต่างๆ มีการลงในรายละเอียดเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้น หากไม่มีการเตรียมการอย่างดี อาจจะเป็นการจัดการประชุมเอเปกครั้งหนึ่งที่อาจจะเป็นความล้มเหลว ซึ่งน่าเป็นกังวลมาก เพราะประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ”
หลังจากนั้นนายทักษิณยังได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่า รัฐบาลนี้ไม่มีความพร้อมที่จะทำหน้าที่ประธานเอเปก เพราะครั้งนี้จะมีความซับซ้อน ยากกว่าทุกครั้ง พร้อมระบุว่า ถ้าหากจะต้องมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ก็น่าจะได้ทีมที่จะเป็นเจ้าภาพได้ดีกว่านี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า
1. ในที่สุด ความจริงปรากฏว่า เวทีการประชุมเอเปกในไทย ได้รับการชื่นชมอย่างที่สุด ว่าไทยจัดงานได้ระดับเวิลด์คลาส
และยังเป็นเวทีเดียวในระดับนานาชาติที่สามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันของชาติสมาชิกที่เข้าร่วม Bangkok Goals โดยไม่ปล่อยให้ลื่นไถลไปเป็นเวทีโจมตีรัสเซียฝ่ายเดียว
ไม่ทราบว่า ทั้งนายทักษิณ นายสุรพงษ์ ละอายแก่ใจตัวเองบ้างหรือไม่?
คนที่ยังหลงเชื่อคำพูดของคนกลุ่มนี้ ที่ชอบด้อยค่า ให้ร้ายประเทศตัวเอง ยังจะหลงลมปากคนพวกนี้ไปอีกนานเท่าใด?
2. ไทยบรรลุผลในการผลักดัน เศรษฐกิจ BCG ในระดับผู้นำเอเปก และในระดับทวิภาคียังบรรลุผลการเจรจาข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศที่นำผลประโยชน์เข้าประเทศอีกมหาศาล ทั้งกับจีน ซาอุฯ ญี่ปุ่น ฯลฯ
3. คาดว่า การลงทุนที่จะเกิดขึ้นตามมาภายใต้นโยบาย BCG มากกว่า 6 แสนล้านบาท
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยได้ผลักดันให้เกิดการรับรอง “เป้าหมายกรุงเทพฯ” ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bangkok Goals on BCG Model) ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ค.ศ. 2022 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุดของการเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทยในปีนี้
ถือเป็นกรอบการดำเนินการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง สมดุล มั่นคง และยั่งยืน
โดยผ่านความร่วมมือ 4 ด้าน คือ 1. การจัดการผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ 2. การส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่ยั่งยืนและครอบคลุม 3. การอนุรักษ์บริหารจัดการและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยังยืน และ4. การบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
น.ส.รัชดา กล่าวว่า ผลจากการจัดประชุมเอเปกครั้งนี้ ยังเป็นโอกาสแสดงศักยภาพของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และสร้างความตื่นตัวแก่คนในสังคมถึงทิศทางการเดินหน้าของประเทศ ในส่วนของภาคเอกชนได้มีการขยายการลงทุนใน BCG ไปแล้ว ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ อาทิ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการใช้นวัตกรรม การใช้พลังงานสะอาด การแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นสินค้ามูลค่าสูง อาทิ อาหารเพื่อสุขภาพ ยาสมุนไพร เครื่องสำอาง พลังงาน เป็นต้น ความสำเร็จดังกล่าว บางส่วนได้นำมาเผยแพร่ในงานประชุมเอเปกซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่เกี่ยวข้องกับ BCG ควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจ EEC
“ภาคเอกชนชื่นชมและพอใจกับความสำเร็จในการผลักดัน BCG ของรัฐบาล และรัฐบาลก็พร้อมที่จะรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนในการเดินหน้าต่อไปให้เกิดผลสำเร็จอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ มีการประเมินจาก ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่า ผลจากการประชุมเอเปกจะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายตัว โดยเฉพาะการลงทุนที่จะเกิดขึ้นตามมา ภายใต้นโยบาย BCG มากกว่า 6 แสนล้านบาท ครอบคลุมทุกกิจกรรมการผลิต เช่น เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ป่าไม้ ปศุสัตว์ เหมืองแร่ ก๊าซธรรมชาติ ขนส่ง บริการธุรกิจ ค้าส่งค้าปลีก โรงแรมที่พัก เป็นต้น” - รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว
4. IMF มองเศรษฐกิจไทยปีหน้าโตสวนทางเศรษฐกิจโลก
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.7 ในปี 2566 (จากร้อยละ 2.8 ในปีนี้)
พร้อมกับคาดว่าการว่างงานของไทยจะอยู่ในอัตราต่ำที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิกที่ 1.0%
ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่ IMF มองว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวได้ท่ามกลางการชะลอตัวของทั่วโลกที่เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อ และต้นทุนการครองชีพที่สูงขึ้น
ข้อมูลประมาณการเศรษฐกิจโดย IMF ดังกล่าว ได้มีการเปิดเผยระหว่างที่นางคริสตาลินาจอร์เจียวา ผู้อำนวยการ IMF เยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมเวทีการประชุมผู้นำเอเปก เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่ง IMF เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเอเปกส่วนใหญ่กำลังชะลอตัวลง และอย่างน้อย 1 ใน 3 ของโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้จีดีพีทั่วโลกในปี 2566 จะขยายตัวได้ร้อยละ 2.7 (ชะลอลงจากร้อยละ 3.2 ในปี 2565)
รองโฆษกฯ ไตรศุลี ไตรสรณกุล มองว่า ความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลมีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยขององค์กรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนับแต่สามารถจัดการกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้ รัฐบาลได้เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเตรียมภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ แรงงานจำนวนมากให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว การมีมาตรการดึงดูดนักลงทุน เปิดพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ มาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย สำหรับภาคการท่องเที่ยวไทยรัฐบาลได้เตรียมตัวมาตั้งแต่กลางปี 2564 ด้วยการนำร่องภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แล้วทยอยเปิดประเทศอย่างระมัดระวัง จนถึงขณะนี้สามารถเปิดประเทศได้เต็มที่ นักท่องเที่ยวทั่วโลกก็เดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากจีนที่เป็นตลาดท่องเที่ยวสำคัญของไทยผ่อนคลายนโยบายจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งความชัดเจนของนโยบายนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้ที่ประเมินประเทศไทย
5. สภาพัฒน์เผย เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 โต 4.5% คาดทั้งปี’65 ขยายตัวได้ 3.2%
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น โดยขยายตัวได้ 4.5%
เครื่องชี้วัดต่างๆ ปรับตัวดีขึ้นเกือบทั้งหมด ทั้งการบริโภคภาคเอกชน การลงทุน ปริมาณการส่งออก รวมถึงสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร เป็นต้น
เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการโควิด และมีการเปิดภาคการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น
คาดว่า ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2565 จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยกว่า 10.2 ล้านคน มีรายรับกว่า 5.7 แสนล้านบาท
และคาดว่าในปี 2565 นี้ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.2%
“ปี 2566 คาดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศมากขึ้น คาดเข้ามากว่า 23.5 ล้านคน มีรายรับกว่า 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งในปีหน้าการท่องเที่ยวจะเป็นการสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ” – เลขาฯ สภาพัฒน์เผย
6. ภาคการผลิตจริงฟื้นตัวต่อเนื่อง
ไม่ต้องเอาอะไรอื่น ภาคอสังหาริมทรัพย์
ผลประกอบการ 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 2565) ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สอบผ่านฉลุย
หลายบริษัททำยอดขาย และกำไรนิวไฮด้วยซ้ำ
รวมทั้งบริษัทของตระกูลชินวัตร และบริษัทของว่าที่แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยด้วย
ด้าน “รายได้” อันดับ 1 เอพี ไทยแลนด์ 29,842 ล้านบาท, อันดับ 2 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 27,684 ล้านบาท และอันดับ 3 ศุภาลัย 25,454 ล้านบาท
ด้าน “กำไรสุทธิ” อันดับ 1 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 6,322 ล้านบาท, อันดับ 2 ศุภาลัย 6,088 ล้านบาท และอันดับ 3 เอพี ไทยแลนด์ 4,755 ล้านบาท
นี่คือสภาวะที่นักโทษหนีคดีและลิ่วล้อพยายามจะบิดเบือนปั่นหัวสาวกว่า เศรษฐกิจไทยจะแย่แล้ว ต่างชาติไม่เชื่อมั่น รัฐบาลประยุทธ์จัดการประชุมเอเปกจะล้มเหลว ต้องไล่ออกไปจากอำนาจ
คนบางคน นับวัน ยิ่งพูดยิ่งเหมือนผายลมทางปาก !!!
มีแต่ของเน่าเหม็น ไม่มีอะไรเชื่อถือได้เลย!!!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี