เมื่อจีนมุ่งประสงค์ที่จะขึ้นมาเป็นเจ้าโลก และขจัดอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา จีนก็ได้รับการต่อต้านบีบคั้นจากสหรัฐฯ อย่างเข้มข้น (โปรดดูบทความจากคอลัมน์เขียนเพื่อคิด ลงฉบับวันพุธที่ 30 พ.ย.) ทำให้จีนต้องกลับมาทบทวนท่าที และตั้งหลักกันใหม่ อาทิ
1.มุ่งปรับลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในทางด้านเศรษฐกิจการค้าต่างๆ (Decoupling) เช่น การลดการใช้/พึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และหันมาพยายามใช้เงินหยวนของตนเองเพื่อการทำมาค้าขายกับต่างประเทศ เช่น การค้าขายกับรัสเซีย และล่าสุดการเจรจาที่จะซื้อน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียด้วยเงินหยวน การพัฒนาองค์ความรู้และขีดความสามารถในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อผลิตสินค้าและชิ้นส่วนด้วยตัวเอง แทนการพึ่งพาสหรัฐฯ และพันธมิตรคู่ค้า (Self reliance) ไปจนถึงการพัฒนาประเทศและการทำมาค้าขายที่เรียกว่า การหมุนเวียนคู่ขนาน หรือการหมุนเวียนแบบทวิหรือสองทาง (Dual circulation) อันได้แก่ การให้โลกพึ่งพาจีนให้มากที่สุดในสินค้าส่งออกของจีน และขณะเดียวกันจีนก็จะพึ่งตลาดภายในของตนเอง และลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
2.การมุ่งมั่นที่จะเพิ่มรักษาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยวิธีการขยายเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Market) มากกว่าการพึ่งพาตลาดส่งออก (Export Market)
3.การเสริมสร้างมิตรภาพด้วยการให้ต่างประเทศที่มาพึ่งพาจีน ตกอยู่ในอิทธิพลของจีน ด้วยการไปลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในกิจการเหมืองแร่และทรัพยากรทางธรรมชาติต่างๆ เพื่อนำเข้ามาที่ประเทศจีนเป็นวัตถุดิบเพื่อการอุตสาหกรรม ทั้งนี้จีนก็จะใช้พลังอำนาจทางการเงินในการ “ซื้อใจ” บรรดาผู้นำในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เช่น กรณีของศรีลังกา กัมพูชา และลาว เป็นต้น
4.การดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนที่ยึดมั่นในเรื่องการไม่เข้าไปแทรกแซง (Non-Interference) ในกิจการภายใน และฉะนั้นจึงปฏิเสธ และต่อต้านนโยบายเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมือง (Regime change) ที่ฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้เคยใช้เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายต่างประเทศ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมประเทศหนึ่งใดที่มีความเป็นเผด็จการให้เป็นสังคมประชาธิปไตย ด้วยการนี้จีนจึงสามารถคบหาสมาคมกับบรรดารัฐบาลเผด็จการต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างสบายใจและราบรื่น
5.เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จีนได้ออกแถลงการณ์ร่วมกับรัสเซีย ในการปฏิเสธและต่อต้านลัทธิ Regime change ของฝ่ายสหรัฐฯ และเห็นว่าโครงสร้างทางการเมืองของประเทศหนึ่งใดก็เป็นเรื่องของประเทศนั้นๆ ต่างชาติไม่ควรจะเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวข้องด้วย อีกทั้งทั้งสองประเทศก็เห็นว่าการเมืองแบบอำนาจนิยมนั้น สามารถสร้างเสถียรภาพและนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจได้ โดยการผสมผสานระหว่างระบบเศรษฐกิจรัฐนำพา กับระบบเศรษฐกิจธุรกิจเอกชน ซึ่งภาครัฐก็จะมีอำนาจเหนือกว่าและเป็นผู้กำกับดูแลกำหนดทิศทางของการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม
6.จีนได้กำหนดนโยบายร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและทางด้านพัฒนากับต่างประเทศด้วยแผนที่เรียกว่า Belt and Road Initiative (ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง) หรือนัยหนึ่งการฟื้นฟูเส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเลจากจีนสู่ทวีปต่างๆ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงทางบกจากจีนสู่ยุโรป และตะวันออกกลางผ่านเอเชียกลาง และการเชื่อมโยงทางทะเลสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และทวีปแอฟริกา ผ่านทางมหาสมุทรอินเดีย เช่น การสร้างท่าเรือต่างๆ รอบขอบมหาสมุทรอินเดีย
7.คู่ขนานไปกับทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ จีนก็มุ่งเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทะเล ทั้งเพื่อขยายอิทธิพล เพื่อต้านทานอำนาจอิทธิพลของฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตร รวมทั้งการมีฐานทัพเรือ เช่นที่ประเทศจิบูตี (Djibouti) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา เป็นต้น
8.จีนจะมุ่งลงทุนเรื่องการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านสื่อสาร เพื่อพึ่งตนเองและเพื่อลดช่องว่างกับฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตร โดยเฉพาะในเรื่อง Chips semiconductor ซึ่งมีความสำคัญยิ่งกับกิจการสื่อสารและกิจการอวกาศต่างๆ
9.จีนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาชั้นแนวหน้าภายใต้ชื่อ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) เพื่อเป็นแกนในการเจรจาต่อรองกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในกรอบของ G7 (สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และญี่ปุ่น) และจัดตั้งเวทีหารือทางด้านความมั่นคงเรียกว่า Shanghai Cooperation Organizers ทั้งหมดนี้ก็เพื่อต่อต้านและลดการครอบงำและอิทธิพลของฝ่ายตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา เป็นการปรับเปลี่ยนให้กับระบบการเมืองโลกที่มีมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นการปฏิเสธที่จะยอมรับการเป็นศูนย์กลางโลกของสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป
ผู้นำจีนในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ สามารถกำหนดนโยบายที่จะนำพาจีนสู่ความเป็นเจ้าโลก ลดและขจัดอิทธิพลของฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้ ก็เพราะว่า 40 ปีของการพัฒนาประเทศด้วยการเปิดประเทศและเข้าร่วมในเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยม จีนประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง มีความมั่งคั่ง มีทุนสำรอง และงบประมาณใช้จ่ายอย่างมากมายมหาศาล อำนวยให้จีนสามารถพัฒนาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การออกไปให้การร่วมมือช่วยเหลือประเทศต่างๆ ทั้งด้วยวิธีการลงทุนในกิจการต่างๆ ทั้งการให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า และการให้ความช่วยเหลือแบบเงินกู้ผ่อนปรน
จีนได้ดำเนินการต่างๆ ดังกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ เพราะจีนได้พัฒนามีความเจริญก้าวหน้าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ภายใต้บรรยากาศระหว่างประเทศ หรือสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวย รวมทั้งมิตรไมตรีจากสหรัฐอเมริกา และการรักษาความสงบ ความมั่นคงด้วยกองกำลัง โดยเฉพาะกองทัพเรือภาคพื้นแปซิฟิกที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา แต่แล้ว จีนก็กลับใช้ความสำเร็จต่างๆ ดังกล่าวนั้น เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายท่าทีจากการร่วมกันอยู่และพึ่งพาอาศัยกัน เป็นการแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกัน และก็ได้รับการตอบโต้จากฝ่ายสหรัฐฯ ดังที่ทราบกันดีอยู่
ส่วนจีนจะยังดึงดันที่จะขยายอิทธิพล และแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาไปได้อีกนานเท่าไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นไปภายในประเทศ และสภาวะตลาดโลกเป็นสำคัญว่า ยังจะเอื้อต่อการส่งออกของจีนในฐานะเป็นโรงงานของโลกอีกต่อไปไปได้นานแค่ไหน ซึ่ง ณ วันนี้ จีนเองก็มีปัญหาภายในที่หนักหน่วง เช่น ความล้มเหลวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และหนี้สินที่ตามมา การขาดทุนของวิสาหกิจรัฐ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาการชะลอ และหดตัวของเศรษฐกิจอันสืบเนื่องมาจากโรคระบาดโควิด-19 และการปิดประเทศและปิดเมือง ที่ทำให้การทำมาค้าขายต้องชะงักงันลงไป อีกทั้งการไปลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และการให้ความช่วยเหลือโดยการให้การกู้ยืมในต่างประเทศ ก็มิได้มีผลเป็นที่พึงพอใจ มักตกอยู่ในเชิงลบหรือขาดทุนมากกว่า ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็บ่งบอกว่า สถานะของจีนจะไม่เหมือนเดิม ดูจะมีความสั่นคลอน และบั่นทอนความมั่นคง
จึงเป็นเรื่องที่ผู้นำจีนจะต้องมีการทบทวนในเรื่องนโยบายและทิศทางอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะความจำเป็นหรือไม่ ที่จะต้องประหยัดงบประมาณ และจัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณเสียใหม่ ซึ่งก็จะมีนัยว่า จีนคงจะต้องชะลอตัวลงในเรื่องการแข่งขันและการเสริมสร้างอิทธิพล เพื่อหันกลับมามุ่งเอาใจใส่กับกิจการภายในเป็นสำคัญ และในขณะเดียวกันก็คงต้องแสวงหาจุดร่วมที่จะร่วมมือกับฝ่ายสหรัฐอเมริกา แทนการเผชิญหน้ากัน เช่นในเรื่องโลกร้อน เรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ และเรื่องการซ้อมรบ การเคลื่อนไหวของทางกองเรือรบและเครื่องบินรบในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก เป็นต้น
ในรูปการณ์นี้ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาก็คงต้องตระหนักว่า จะไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบรรลุเป้าหมายสูงสุด เพราะต่างฝ่ายต่างยันกันอยู่ ซึ่งก็ต้องสิ้นเปลืองและเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรงที่อาจจะลุกลามไปจนถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ ฉะนั้นก็ควรที่จะคิดอ่านบรรเทาการยึดมั่นถือมั่นและใฝ่หาวิธีการที่จะอยู่ร่วมกัน ทั้งเพื่อความสงบสุขของประเทศทั้งสอง และของชาวโลกเป็นการทั่วไปด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี