เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2566 ที่บริเวณหาดแหลมเจริญ จ.ระยอง นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคกลาง นำทีมเปิดตัวผู้สมัครสส.ภาคตะวันออก เพื่อเดินหน้านโยบายส่งเสริมศักยภาพจังหวัดภาคตะวันออกภายใต้แนวคิด “คิดนำ ทำจริง” ที่สอดคล้องกับการเป็นส่วนหนึ่งของ EEC
นายสาธิต ปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2544 มีพรรคเกิดใหม่ และ
ยุบไป อาจจะมีบางพรรคที่ยังอยู่ แต่จะมีพรรคการเมืองไหนที่อยู่คู่กับประเทศไทยมา 77 ปี เป็นพรรคการเมืองที่เป็นระบบสถาบันการเมือง ไม่มีใครชี้มือสั่งการได้ แต่เป็นพรรคที่รวบรวมสิ่งที่ประชาชนคิดแล้วกลั่นออกมา แต่บางครั้งมันถึงจุดสูงสุด และจุดต่ำสุด ตนยังมั่นใจว่าไม่มีพรรคการเมืองไหนที่มีบุคลากรที่มีความสามารถ ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่เคยมีอดีตนายกรัฐมนตรี 3 คนในพรรค
“แต่อย่างไรก็ตามความเป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีใครสั่งการได้ ผมยังมั่นใจกับพรรคประชาธิปัตย์ แม้สถานการณ์วันนี้จะมีการแข่งขันรุนแรง ผมยังมั่นใจว่าพรรคการเมืองที่ต้องอยู่คู่กับประเทศไทย ไม่ว่าจะตกต่ำที่สุดหรือขึ้นมาสูงสุดต้องเป็นพรรคการเมืองที่ชื่อพรรคประชาธิปัตย์”
นายสาธิตกล่าวว่า นอกจากนี้ เรามีตัวแทนสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์สุจริตที่อยู่กับพรรคนี้ หลักฐานประจักษ์ท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นที่ยอมรับของคนทั่วประเทศ เรามีสุภาพบุรุษที่พูดคำไหนคำนั้นอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังนั้นเพื่อให้มีความชัดเจนกับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ และชาวระยองว่าคนที่ชื่อสาธิต ปิตุเตชะ คนระยองเลือกมาเป็นผู้แทน 5 สมัย ได้เป็นรมช.สาธารณสุข ตัดสินใจแน่วแน่แล้วจะยังสังกัดพรรคประชาธิปัตย์
“ในการเลือกตั้งครั้งหน้าผมจะนำทีมภาคตะวันออก และภาคกลาง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมายิ่งใหญ่ในอนาคตให้ได้ โดยเฉพาะภาคตะวันออกต้องพิเศษ และยิ่งใหญ่ภายใต้สาธิตและทีม” นายสาธิต กล่าว
ต่อมา นายสาธิต ให้สัมภาษณ์ หลังประกาศอยู่พรรคประชาธิปัตย์ต่อไปว่า หากทิ้งพรรคไปในวันที่สถานการณ์ไม่ดีแบบนี้มันเหมือนกับเราทิ้งเพื่อน วันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากมากในภาวะที่มีเพื่อนหลายพรรคเข้ามาพูดคุย แต่สุดท้ายต้องยืนหยัดรักษาอุดมการณ์
“วันนี้ประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนเมื่อก่อน เราจึงจะต้องเป็นทีมนำในการสร้างศรัทธาให้กลับมาและการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านมา โดยในภาคตะวันออกตนก็จะเป็นแกนนำ ขอให้ชาวภาคตะวันออกไว้ใจพวกเราเข้าไปทำงาน”
นายสาธิต ยอมรับว่า พรรคมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำพรรคจะต้องไปพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กลับมาช่วยพรรคประชาธิปัตย์หาเสียง
ต่อมา สื่อมวลชนนำประเด็นเรื่อง “ต้องไปคุยกับนายอภิสิทธิ์ ให้กลับมาช่วยพรรคประชาธิปัตย์หาเสียง”
ไปถามนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ปรากฏว่า นายจุรินทร์เลือกที่จะไม่ตอบคำถามนี้
1) ผมเห็นด้วยที่นายจุรินทร์ยังไม่ตอบคำถามนี้ เพราะคนที่ต้องทำให้เรื่องนี้กระจ่างชัดที่สุด คือ นายสาธิต ผู้เสนอ ว่า คิดอะไรไว้บ้างในข้อเสนอนี้
2) แน่นอน คนในพรรคประชาธิปัตย์ตลอดจนประชาชนผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อย ยังศรัทธาและรอคอยการกลับมาของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นนักประชาธิปไตย มีความรอบรู้ และมีความเป็นผู้นำ นายสาธิตเองก็เลือก “ใช้คำ” ที่ชัดเจนว่า อยากให้ “ผู้นำพรรค” เจรจากับนายอภิสิทธิ์ให้กลับมา “ช่วยพรรคหาเสียง”
3) พอเกิดประเด็นแบบนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในพื้นที่สื่อและในวงกาแฟยามเช้าก็คือ ระหว่าง
จุรินทร์กับอภิสิทธิ์ ใครเจ๋งกว่ากัน
4) โชคดีที่นายจุรินทร์ไม่ “ต่อเรื่อง” ด้วยการตอบคำถามดังกล่าว จนทำให้เรื่องนี้ ไม่มีเชื้อให้วิพากษ์วิจารณ์กันต่อ และผมเชื่อว่า ถ้าสื่อมวลชนได้พบกับนายอภิสิทธิ์ที่ตรงไหนก็ตาม นายอภิสิทธิ์ก็จะต้องถูกตั้งคำถามนี้ และเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ก็จะ “ตอบแต่น้อย” เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์มีความระมัดระวังมากเรื่องการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่จะไม่สร้างผลกระทบกับ “พรรค” และ “หัวหน้าพรรค” คนปัจจุบัน
5) สิ่งที่คนในพรรคประชาธิปัตย์จะต้องหันหน้าเข้าหากันและหาบทสรุปที่เร็วที่สุดก็คือ จะ “จัดทัพ” และ “ระดมขุนศึก” สู่สนามรบในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไรซึ่งดีที่สุด หากหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันจะเป็น “ผู้เปิดทาง”
6) ผมอยากจะนำทุกท่านย้อนกลับไปดูบทสัมภาษณ์ในหลายๆ สื่อของมาดามเดียร์-วทันยา บุนนาค ที่พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ และเธอเลือกมาสังกัดพรรคนี้ มันมีคีย์เวิร์ดและคำตอบสำหรับคนในพรรคและผู้บริหารพรรคอยู่ในนั้น
7) ตอนหนึ่ง มาดามเดียร์ตอบกับ “ไทยรัฐทีวี” ว่า ที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะศรัทธาในความเป็นสถาบันการเมืองของประชาธิปัตย์ ที่มีความชัดเจนเรื่องประชาธิปไตย และอยู่กับคนไทยมาแล้วถึง 76 ปี ไม่มีเจ้าของพรรค ไม่มีการผูกขาดทางอำนาจ สำคัญที่สุดคือ สส. สมาชิกพรรค มีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกันในการแสดงความคิดเห็น ก่อนจะมีท่าทีหรือมติของพรรคออกมาจะต้องมีการพูดคุยหารือกันในพรรคก่อน
ส่วนคำถามว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐหรือ น.ส.วทันยา ตอบว่า พรรคพลังประชารัฐก็มีการประชุมพรรค แต่ความเป็นอิสระในการทำงานนั้นมีวัฒนธรรมของพรรคอยู่ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ทุกมติของพรรค ความอิสระในการตัดสินใจชัดเจนกว่า
8) เธอยังให้สัมภาษณ์ “เดอะโมเมนตั้ม” ที่ถามเธอว่า ตอนแถลงข่าวเรื่องการลาออก เหตุผลสำคัญข้อหนึ่งของคุณคือ “หมดความอดทนกับเกมการเมือง” ซึ่งมาดามเดียร์ได้ตอบเรื่องนี้ว่า
เราขอยกคำพูดของคุณชวน หลีกภัย ที่เคยกล่าวว่า “อย่าหมดหวังกับรัฐสภา เพราะเกมการเมือง”
คือ ตัวเราเองยังคงศรัทธาในกลไกของระบบรัฐสภาอยู่ ว่า สามารถขับเคลื่อนทิศทางของประเทศ เป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไปได้
พอออกจากพรรคพลังประชารัฐ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราต้องตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะใช้หลักการหรือแกนอะไรในการเลือกสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งคำตอบของเราคือ “ความเป็นประชาธิปไตยในพรรค” เพราะพรรคการเมืองก็เป็นสถาบันหลักของระบอบการเมืองในประชาธิปไตย จึงเป็นเรื่องสามัญมากที่เราต้องเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในพรรค ต้องมีความเท่าเทียม เปิดกว้างทางโอกาส และให้อิสระกับสมาชิก เพื่อที่เราจะได้ทำงานเพื่อสังคม เพื่อประชาชน ในท้ายที่สุดเราก็ตัดสินใจเลือกพรรคประชาธิปัตย์
จำได้ว่าในวันประกาศเปิดตัวว่าเข้าร่วมกับพรรคก็มีพี่ๆ สื่อมวลชนบอกว่า “ที่นี่ซัดกันแรงเลยนะ ในห้องประชุมนี่ไม่ไว้หน้ากันเลยนะ” ซึ่งเรามองว่าตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย หากจะมีการวิจารณ์กันต่อหน้าและด้วยข้อเท็จจริงในการทำงาน เรามองว่ามันเป็นการให้ข้อแนะนำและข้อปรับปรุงเพื่อนำข้อมูลไปพัฒนาการทำงานต่อได้
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ คุณมีมุมมองต่อพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร มาดามเดียร์ตอบว่า
ต้องยอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์ในช่วงรอบสามปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเลือกตั้งในปี 2562 มันมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ในปี 2562 เราจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ สส. ในกรุงเทพฯ เลย หลังจากนั้นก็มีการลาออกของหัวหน้าพรรคอย่าง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการลาออกของ สส. อีกหลายท่าน ซึ่งหากมองในแง่มุมของความเป็นองค์กร ก็อาจพูดได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลังอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้าง อยู่ในช่วงการเปลี่ยนเลือดใหม่
มีคำถามเกิดขึ้นมาว่า พรรคประชาธิปัตย์จะรอดไหมในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกและทำให้เห็นต่างจากคำถามนี้ คือหากย้อนกลับไปดูประวัติของพรรคประชาธิปัตย์ตลอดระยะเวลาเจ็ดสิบหกปี ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดมีขึ้น มีลง แต่ก็ยังคงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน สำหรับเรา เรื่องนี้มันพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้สมาชิกจะเปลี่ยนขนาดไหน ความเป็นประชาธิปัตย์ยังคงอยู่ตลอด มีหลักการของตัวเอง ไม่ยึดโยง ยึดติดกับใครคนหนึ่งแต่อย่างใด
9) ดังนั้น “เส้นใต้บรรทัด” ที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องหาให้เจอและขีด คือ ความเป็นพรรคประชาธิปัตย์นั้น แข็งแรง คงทนต่อกาลเวลา ผ่านวิกฤตในแต่ละช่วงเวลามาได้อย่างไร
โฟกัสให้มากที่มาดามเดียร์อ้างถึงคำพูดของนายชวน หลีกภัย ที่ว่า “อย่าหมดหวังกับรัฐสภา เพราะเกมการเมือง” นั่นแปลว่า อย่าหมดหวังกับประชาธิปัตย์เพราะตัวคนและเกมที่สร้างกันขึ้น
คน-มาแล้วก็ไป ไปแล้วก็มาได้
แต่อะไรที่ความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ สถาบันทางการเมืองมีอยู่ และคงอยู่เสมอมา 70 กว่าปี จงเอามาเพิ่มความทันสมัยเข้าไป
10) ผมอยากจะบอกกับคุณจุรินทร์ว่า คุณโชคดีที่สุดที่เป็นหัวหน้าองค์กรที่มีทรัพยากรบุคคลมากเหลือเกิน ทั้งเก่าและใหม่ มันอยู่ที่ผู้นำอย่างคุณ จะบริหารทรัพยากรเหล่านั้นให้เกิด “มูลค่า” แก่ประเทศชาติ ประชาชน และพรรคของคุณอย่างไร ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคคู่แข่งที่ใช้ฐานคะแนนเดียวกันอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติยังต้องเที่ยวหา “ตัวคน” จากพรรคอื่นๆ กันให้ควั่ก
ให้พรรคสำคัญกว่าพวก ให้เหลือแค่พวกเดียวคือ พวกประชาธิปัตย์
งัดบุคลากรที่มีมาตั้งทีมที่แข็งแกร่ง โดยไม่ติดค้างคาใจว่านั่นเป็น “พวกใคร” พวกจุรินทร์ หรือพวกอภิสิทธิ์ ซึ่ง “หลอกหลอน” กันมาตลอด
คนไหลออกแค่หยิบมือ ถูกขยี้ทุกวันว่า ปชป. เลือดไหล
ไอ้ที่มีอยู่ เหลืออยู่ และเพิ่มเข้ามาตลอดนั่น เป็นเลือดที่ยังไม่ถูกบริหารจัดการ ไปสู้กับไอโอเรื่อง “เลือดไหลออก” เรื่อง “พรรคอ่อนแอ” เรื่อง “ผู้นำขาดมนุษยสัมพันธ์” จนกลายเป็นพรรคที่คนกังวลใจ ไม่กล้าศรัทธา
ลุกมาปลุกศรัทธา สร้างความมั่นใจให้ได้
ใช้ข้อได้เปรียบเรื่อง “บุคลากร” ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เป็นธงนำ
ถ้าจุรินทร์ระดม “ยอดฝีมือในพรรค” มานำประชาธิปัตย์ออกศึกได้ (นั่นรวมถึงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วย)
จุรินทร์ก็ “นำประเทศไทย” ได้ครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี