ที่ จ.พิษณุโลก นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยบนเวที “คิดใหญ่ทำใหญ่ เพื่อไทยทุกคน” ว่า วันนี้ในฐานะน้องใหม่ทางการเมืองมาพร้อมกับหัวใจที่มีความเชื่อมั่นในอำนาจของประชาชน เชื่อมั่นในระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ ไม่เอารัฐประหาร วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาพิจารณาว่าในรอบ 8 ปีอันยาวนาน เราเจอปัญหาอะไรบ้าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ได้บอกแล้วว่าปัญหาที่เราเจอมาเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นปัญหารายได้ตกต่ำเหล่านี้ เป็นปัญหาที่กินใจพวกเราเหลือเกิน
ทั้งนี้ ครึ่งหนึ่งของประชากรพิษณุโลกเป็นเกษตรกรมีหนี้สินที่เกิดจากการทำการเกษตร ไม่น่าเชื่อว่า นี่อู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ พี่น้องเกษตรกรเป็นหนี้ ใช้หนี้ไม่พอ เกิดจากผู้นำประเทศไม่ไปขยายตลาด ไม่มีนวัตกรรมมาเสริม ทำนาแทบตายต่อไร่ได้เงินสุทธิแค่ 1,000 บาท แล้วจะกินจะอยู่กันอย่างไร
นอกจากนี้ คนแก่ คนเฒ่าเกษียณไป มีเงินไม่สามารถเลี้ยงดูได้อย่างมีศักดิ์ศรี นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่ พรรคเพื่อไทย เราใช้การตลาดนำ นวัตกรรมเสริม ถ้าเกิดเราได้เข้ามาบริหารจัดการเรื่องเกษตรกรรม ตนเชื่อว่ารายได้ของเราจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 4 ปี เงินสุทธิที่เคยได้ต้องเป็น 3,000 บาท สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นลำบาก ถ้าเกิดพรรคเพื่อไทยไม่ได้เข้ามาบริหารประเทศแบบพรรคเดียว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้กล่าวไว้แล้วเรามี250 สว. เป็นขวากหนามที่ต้องฟันฝ่าเข้าไป พรรคเพื่อไทยต้องได้อย่างน้อย 310 ที่นั่ง เริ่มต้นที่นี่ เริ่มต้นวันนี้ 5 เขตของ จ.พิษณุโลก ต้องยกจังหวัด
“ผมไม่อยากกลับมาที่นี่อีก เพื่ออธิบายว่า ทำไมว่าทำไม่ได้แต่ถ้าเกิดยกเขตได้ 5 เขตในพิษณุโลก ผมเชื่อว่าทุกเรื่องที่ท่านหัวหน้าได้พูด เราต้องทำได้ ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องมาดูว่า 8 ปีมันเพียงพอ 4 ปีต่อไปเราอยากได้อะไร คิดให้ดี อย่าปันใจไม่ต้องมีพรรคพี่ พรรคน้อง พรรคสาขา ไม่มี เราไม่เคยพูด ต้องพรรคเพื่อไทยทั้ง 5 เขตพิษณุโลก และสไลด์ทั้งแผ่นดิน” นายเศรษฐา กล่าว
กรุณาขีด “เส้นใต้บรรทัด” สัก 500 เส้น ให้แก่คำพูดที่ว่า “4 ปีต่อไปเราอยากได้อะไร คิดให้ดี อย่าปันใจ ไม่ต้องมีพรรคพี่พรรคน้อง พรรคสาขา ไม่มี” แล้วมาดูเสียงสะท้อนต่อตัวเลข “310 ที่นั่ง” ที่ “ไม่ต้องมีพรรคพี่ พรรคน้อง พรรคสาขา” กันครับ
1) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ว่า...
“หลังจากที่เปิดตัวเข้าสู่การเมืองอย่างเป็นทางการ ประเด็นที่คุณเศรษฐา ทวีสิน วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชุดนี้อย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าพูดในทุกโอกาส ก็คือ นายกรัฐมนตรีจะต้องออกไปเจรจาค้าขายกับประเทศต่างๆ ด้วยตัวเอง แต่ไม่เคยทำ สร้างความผิดหวังต่อภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก
ประเด็นนี้ ผมเห็นต่างจากคุณเศรษฐา ผมไม่ต้องการเห็นรัฐบาลไหนของประเทศไทย ที่นายกรัฐมนตรีต้องเดินทางไปเจรจาค้าขายกับนานาประเทศ เพื่อขอให้เขาซื้อสินค้าของเราเพราะนั่นแสดงว่าสินค้าของเราไม่เป็นที่ต้องการของต่างชาติ หรือสินค้าเรามีคุณภาพไม่ดีพอ ทำให้รัฐบาลต้องไปขอร้องให้ประเทศอื่นๆ มาซื้อสินค้าของเรา เพราะนั่นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เขาอาจเกรงใจยอมซื้อสินค้าของเราบ้างพอเป็นพิธี แต่หากสินค้าของเราไม่ตรงกับความต้องการของเขา หรือมีคุณภาพไม่ดีพอ หลังจากนั้นเขาก็จะไม่ซื้ออีก ทำให้ต้องเดินทางไปเจรจาอีกเพื่อขอให้เขาซื้อ เป็นเช่นนี้ไม่จบไม่สิ้น
สิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลควรทำคือ พัฒนาและแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน นั่นคือวางรากฐานทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งด้วยการพัฒนาขีดความสามารถของคนให้สูงขึ้น แต่ที่ผ่านมา เราเห็นรัฐบาลแต่ละรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยมาตรการระยะสั้นกันทั้งนั้น เช่น อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ พักหนี้เกษตรกร แจกเงินคนจน ให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รับจำนำข้าวประกันราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตร ฯลฯ และหากมองการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ในขณะนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ ลดแลกแจกแถม ประชานิยม อันจะเป็นภาระทางการเงินของประเทศในอนาคตด้วยกันทั้งสิ้น
การพัฒนาขีดความสามารถของคนที่กล่าวถึง ไม่ได้หมายถึงเพียงการพัฒนาการศึกษาซึ่งก็ต้องทำเท่านั้น แต่หมายถึงการพัฒนาขีดความสามารถของคนแบบตรงจุด นั่นหมายความว่า พัฒนาคนให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่สำคัญๆ ของประเทศ ตัวอย่างเช่น แม้ประเทศเราจะเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ผลผลิตต่อไร่หรือ yield ของการผลิตข้าวของเรากลับต่ำกว่าคู่แข่งที่สำคัญ เช่น เวียดนาม และอินเดียมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวของเราสูงกว่าคู่แข่ง นั่นหมายถึงความเสียเปรียบในการแข่งขัน ไม่ใช่ความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือ competitive advantage ที่จะทำให้เราเอาชนะคู่แข่งได้
ทำไมที่ผ่านมาและในปัจจุบัน ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่หาเสียงด้วยการสัญญาว่า จะทำให้ผลผลิตข้าวต่อไร่ของชาวนาสูงขึ้น เป้าหมายคือเป็นที่หนึ่งของโลก ด้วยการพัฒนาขีดความสามารถของชาวนา ด้วยการให้การอบรมให้ความรู้ ทั้งด้านพันธุ์ข้าว วิธีการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูง ให้ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ ให้คำแนะนำด้านเทคโนโลยี และให้เงินกู้ไม่มีดอกเบี้ย เพื่อให้ชาวนาสามารถลงทุนซื้อเครื่องจักร เครื่องมือต่างๆได้การทำเช่นนี้ ต้องจัดทีมผู้เชี่ยวชาญ ออกไปช่วยชาวนาทั่วประเทศ ไม่ใช่พึ่งแค่เกษตรอำเภอหรือเกษตรจังหวัดอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
นี่ไม่ใช่เป็นการขายฝัน แต่เป็นสิ่งที่ควรทำและต้องทำให้ได้แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดคิดจะทำเลยแม้แต่พรรคเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่า ระบบการเมืองของเรายังใช้ไม่ได้ หรือคนของเรายังใช้ไม่ได้ หรือใช้ไม่ได้ทั้งระบบทั้งคน ใช่หรือไม่ว่า เรามักจะถามตัวเองก่อนเสมอว่า หากเลือกคนนี้หรือพรรคนี้แล้วเราจะได้อะไร พรรคการเมืองต่างๆ จึงต้องหาเสียงด้วยการแจกของ แจกเงิน ขายฝัน สัญญาจะให้ผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ กับคนแต่ละกลุ่ม แทนที่จะวางรากฐานที่มั่นคงให้แก่ประเทศในระยะยาว
อยากบอกพรรคก้าวไกลว่า หากต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีจริง อย่าได้หมกมุ่นอยู่กับการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 และการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วหันมาสร้างและพัฒนาคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าที่ยังไร้ระเบียบวินัยให้มีระเบียบวินัย ให้รู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่น ให้นึกเสมอว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำจะไปกระทบหรือทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนหรือไม่อย่างไร และมุ่งพัฒนาคนแบบตรงจุดอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นดีกว่า แล้วพรรคก้าวไกลจะได้คะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ที่ยังเคารพรักสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ ยังมีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ชอบพรรคก้าวไกล แต่ติดตรงทัศนคติของพรรคที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น
อย่าลืมว่า เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยขณะนี้คือ 310 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร แล้วคะแนนเสียงที่ต้องการเพิ่มขึ้นจะไปแย่งมาจากที่ไหนนอกจาก จากฝ่ายเดียวกันเอง”
2) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” ตอน“เอาที่สบายใจ” โดยกล่าวว่าพรรคเพื่อไทยมุ่งกวาดเสียง 310 คน ไม่แบ่งให้พรรคอื่นในฝ่ายเดียวกัน ต้องการให้เลือกตั้งชนะขาดเพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับธรรมชาติทางการเมือง คือ เสียงเลือกตั้งจะไม่ย้ายข้างไปลงให้อีกฝ่ายหนึ่งโดยพรรครัฐบาลจะไม่เลือกฝ่ายค้าน และฝ่ายค้านจะไม่เลือกรัฐบาล ดังนั้น เสียงที่ต้องการ 310 คน จึงต้องกระทบกับพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าเพื่อไทยได้ 310 เสียงจริง แสดงว่า พรรคก้าวไกล เสรีรวมไทย และประชาชาติ รวมทั้ง ไทยสร้างไทยจะไม่ได้รับเลือกตั้งเลย ดังนั้น การไม่แบ่งเสียงให้พรรคฝ่ายเดียวกัน ไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง จึงเป็นความอำมหิต และจะเกิดการต่อสู้แย่งชิงเสียงในพรรคฝ่ายเดียวกันอย่างรุนแรง
นายจตุพร ระบุว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่แบ่งเสียงให้ใครแล้วการชิงนายกฯ ต้องใช้เสียงเกินครึ่งของรัฐสภาจำนวน 376 เสียงจากทั้งหมด 750 เสียง (สว. 250 + สส. 500 เสียง) แล้ว จึงสงสัยว่า เสียงอีก 66 เสียงจะเอามาจากไหนเพื่อบวกกับ 310เสียงที่หวังจะได้รับ และทำให้เพื่อไทยสามารถฝ่าด่านเลือกนายกฯ ไปได้ ก่อนไปสู่การตั้งรัฐบาลพรรคเดียวตามการคุยโวที่ทำให้สบายใจ ก็ว่ากันไป
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อหักลบกันแล้ว ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยพลังประชารัฐ และพรรคใหม่อย่างรวมไทยสร้างชาติ จะเหลือเสียงเพียง 190 เสียงเท่านั้น แต่ยังมีเสียง สว. 250 เสียงเป็นหน่วยหนุนเสริมอีก รวมเป็น 440 เสียง เกินครึ่งหนึ่งของเสียงรัฐสภา 376 เสียง จากทั้งหมด 750 เสียง จึงแสดงว่า ฝ่ายรัฐบาลเดิมยังสามารถฝ่าด่านเลือกนายกฯ และตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี
“ถ้าเพื่อไทยจะประกาศทั้งทีต้องใช้ตัวเลข 376 เสียงไปเลย ขอ 310 เสียงทำไม เพราะไม่มีผลต่อการเลือกนายกฯ และตั้งรัฐบาล อีกทั้งจะไปหาอีก 66 เสียงจากไหนมาเติมให้เกินครึ่งของรัฐสภา เนื่องจากกวาดฝ่ายเสียงเดียวกันจนหมดเกลี้ยงแบบนี้แล้ว ดังนั้น อีกสองวันควรประกาศเพิ่มใหม่เป็น 376 เสียง จะได้สบายใจกันไปเลย” นายจตุพร ประชด
พร้อมกล่าวว่า ในทางปฏิบัติแล้ว ตัวเลขชนะเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ช่างเป็นตรรกะย้อนแย้งกันอย่างยิ่ง รวมทั้งการพูดกวาดเรียบไม่แบ่งให้พรรคใด ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง เท่ากับทำลายจิตใจของมิตรทางการเมือง ขณะเดียวกันความเป็นไปได้บนฐานเสียง 310 เสียงนั้น ความจริงมาจากการประเมินด้วยการย้ายขั้วทางการเมืองจากพรรคพลังประชารัฐมาอยู่เพื่อไทยเพื่อเพิ่มค่าตัวทางการเมือง แล้วตีจากหลังเลือกตั้ง เสมือนเป็นการเก็งกำไรราคาหุ้นการเมืองส่วนบุคคลกัน กระแสข่าวที่ว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะย้ายจากพลังประชารัฐมาเพื่อไทยนั้น ขณะนี้รอการตัดสินใจครั้งสุดท้ายอยู่
พรรคเพื่อไทยประกาศกวาดเสียงแลนด์สไลด์ 310 เสียง โดยไม่แบ่งให้พรรคพี่พรรคน้อง ซึ่งหมายถึงพรรคไทยสร้างไทย (แยกจากพรรคเพื่อไทย) และมีก้าวไกล อยู่ในฝ่ายค้านร่วมด้วยกันจะไม่ได้ สส. สักคน ซึ่งในทางการเมืองคงเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะในพื้นที่คะแนนเสียงของเพื่อไทยมีผู้สมัครเด่นๆ ของก้าวไกลและไทยสร้างไทย ดังนั้น สองพรรคนี้ย่อมมีโอกาสแบ่งส่วน สส.มาได้หลายคน
“แรงเหวี่ยงแบบตัดญาติขาดมิตร ยิ่งแสดงถึงจิตใจคับแคบเท่าไร ย่อมจะถูกตอบโต้กลับจากฝ่ายเดียวกันมากขึ้น สิ่งสำคัญพรรคใหญ่ ควรแสดงตนเป็นคนใจกว้างชวนประชาชนให้เลือกฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อหยุดระบอบ 3 ป. และให้เพื่อไทยไปตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้บริหารประเทศ การแสดงความใจกว้างเช่นนี้ จะได้ใจหมู่มิตรพร้อมร่วมเป็นร่วมโค่นระบอบ 3 ป.ด้วยกัน” นายจตุพร กล่าว และเห็นว่า การแสดงใจคับแคบ ตัดขาดมิตรแล้วกระทืบซ้ำพรรคฝ่ายเดียวกัน ยิ่งทำให้เกิดอาการบาดหมางใจ หากหลังเลือกตั้งจะร่วมรัฐบาลแล้ว จะมีมิตรพรรคฝ่ายเดียวกันมาร่วมได้อย่างไรกัน
รวมทั้งเสนอเชิงประชดว่า เมื่อเพื่อไทยอยากได้เสียง 310 เสียง แต่ยังไม่ถึงครึ่ง 376 เสียง เพื่อเลือกนายกฯ ดังนั้น เพื่อความสบายใจก็ประกาศเอาให้ถึง 376 เสียงไปเลย หรือเพิ่มเพื่อความสบายใจยิ่งขึ้นก็เพิ่มมาเป็น 400 เสียง และถ้าอยากสบายใจที่สุดก็กวาดเรียบไปเลย 500 เสียง คงไม่มีใครว่าและได้สบายใจอำมหิตกันสุดๆ ไปเลย....
เมื่อไล่เลียงมาดังนี้ จึงมีข้อสรุปได้ว่า พรรคเพื่อไทยกำลังแสดงความ “อำมหิต” ต่อมิตรร่วมฝ่าย และจตุพรกำลังทิ้งท้ายให้คิดว่า “พรรคเพื่อไทยจะต้องรวมตัวกับใคร” จึงจะเป็นรัฐบาลได้อย่างแท้จริง?!?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี