เป็นเรื่องสิครับ เมื่อ “เจ๊แจ๋น” นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียดประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่ กทม. พรรคเพื่อไทย ตอบคำถามนักข่าวที่เมื่อถามว่า ขณะนี้มีหลายพรรคโจมตีนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลนั้นนางพวงเพ็ชร กล่าวว่า
“ก่อนวิจารณ์คุณต้องศึกษาให้เรียบร้อยก่อน เพราะจะเป็นเรื่องของการใส่ความ ซึ่งในกฎหมายการหาเสียง ห้ามใส่ความผู้อื่นหรือห้ามทำให้ผู้อื่นเสียหาย พร้อม
ยืนยันนโยบายที่พรรคเพื่อไทยออกมาทุกนโยบายสามารถทำได้จริง ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณมาโจมตีอย่างนี้อาจจะโดนฟ้องกลับได้”
1) ทันใดนั้นเอง ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฎฐ์” นักกฎหมายมหาชน ก็ได้แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ชาติปางก่อนนางพวงเพ็ชร อาจเกิดเป็นงูเห่า พฤติกรรมชอบข่มขู่พี่น้องประชาชน ขู่จะฟ้องกลับคนนั้นคนนี้ พรรคนั้นพรรคนี้โดยไม่ฟังพี่น้องประชาชนที่แสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริต และไม่ได้ศึกษาข้อกฎหมายหรือปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยก่อน
ดร.ณัฐวุฒิกล่าวว่า ไหนว่า พรรคเพื่อไทยอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย เพียงแค่ประชาชน นักวิชาการหรือพรรคการเมือง ตั้งคำถาม นโยบายแจกเงินดิจิทัลแต่กลับมีพฤติการณ์จะปิดปากพี่น้องประชาชน โดยการขู่จะแจ้งความบ้าง จะฟ้องกลับบ้าง ยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง กลับแสดงพฤติกรรมออกมา ถามว่า พฤติกรรมข่มขู่แบบนี้ เป็นเผด็จการหรือไม่ อย่างไรจะเอากฎหมายปิดปากประชาชน
“...จะสอนมวย นางพวงเพ็ชร ให้อ่านสิทธิขั้นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ ในการพูด แสดงออก เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนสามารถกระทำได้คุณจะต้องแยกแยะด้วยว่า สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการพูด ในการแสดงความคิดเห็นกับคำว่า “ใส่ความ” แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมจะสอนมวยให้ การใส่ความ เป็นการลดคุณค่าในสังคม ถามว่าประชาชนเห็นต่าง เชิงตั้งคำถาม มีผิดกฎหมายอาญาและกฎหมายเลือกตั้งตรงไหน อย่างไร
...ผมว่าคุณพวงเพ็ชร ไม่สามารถตอบคำถามได้ เพราะนโยบายแจกเงินดิจิทัล พรรคเพื่อไทยประกาศบนเวทีแต่ไม่ระบุรายละเอียดเผยแพร่ให้พี่น้องประชาชนทราบ เงินดิจิทัลสกุลเงินใด ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศรับรองหรือไม่ ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรับรองหรือไม่การแจกเงินเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่ แล้วงบประมาณห้าแสนกว่าล้าน เอางบประมาณมาจากไหน ในเมื่อประเทศไทยเหลืองบประมาณในปี 2567 เพียงสองแสนล้าน หนี้สาธารณะพุ่งหรือไม่
...หรือที่ประชาชนตั้งคำถามว่า แล้วเด็กแรกเกิดถึงอายุสิบห้าปี ไม่ได้รับสิทธิ แต่เป็นหนี้ประชากรรายหัว จะตอบกับผู้ปกครองทั้งประเทศว่าอย่างไร การเผยแพร่นโยบายให้ประชาชนทราบ เป็นกระบวนการตัดสินใจลงคะแนนในวันเลือกตั้ง แต่พอตั้งคำถามขู่จะฟ้อง พี่น้องประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญให้การคุ้มครอง
...ให้เทียบเคียงกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองจอมแฉ ออกมารณรงค์คัดค้านกัญชาเสรี ของพรรคการเมืองหนึ่ง สามารถกระทำได้เพราะเป็นประโยชน์สาธารณะทั้งข้อดีและข้อเสีย สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน อย่าไปกลัวมัน ทั้งนี้หากพรรคการเมืองนั้นนำนโยบายพรรคที่หาเสียงไว้ไปขับเคลื่อนเป็นนโยบายสาธารณะ ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเป็นผู้เสียภาษีให้แก่รัฐ สามารถตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ และสามารถคัดค้านได้ หากเป็นผลเสียแก่ประเทศโดยรวม โดยเฉพาะเกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวกับเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี จะต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาและตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญ”
นักกฎหมายมหาชนผู้นี้ ยืนยันด้วยว่า การพูดหรือให้ความเห็นของพรรคการเมือง นักวิชาการหรือพี่น้องประชาชน สามารถแสดงความคิดเห็นได้ ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง และขอถามกลับ นางพวงเพ็ชร ว่า ที่ประชาชนตั้งข้อสงสัยเชิงตั้งคำถาม ผิดกฎหมายอะไร มาตราใด มันผิดตรงไหน เป็นเสรีภาพของประชาชนที่ตั้งคำถามต่อนโยบายพรรค ขนาดยังไม่ได้เลือกตั้ง
“...หวังแลนด์สไลด์เนี่ยนะ ประชาชนจะได้หูตาสว่างว่านโยบายพรรคเพื่อไทย สามารถนำนโยบายแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาท ให้แก่บุคคลที่มีอายุ 16 ปี ขึ้นไป และภายในระยะเวลาหกเดือน สามารถทำได้ ผิดกฎหมายหรือไม่เพราะ กกต.ยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด ทำให้เกิดตั้งคำถามว่าเงินสกุลดิจิทัล เป็นเงินอะไร ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศรับรองสกุลเงินหรือไม่ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์รับรองหรือไม่ เป็นการสับขาหลอกหรือไม่ซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่ ตรงนี้ ประชาชนทุกคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ห่วงใยประเทศไทยจะต้องอยู่ในภาวะล้มละลาย”
นักกฎหมายมหาชนผู้นี้ยังกล่าวถึงกรณี นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย วิจารณ์นโยบายเงินดิจิทัลว่า
“...เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ เพราะนายโภคินเคยนั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านนโยบายและแผนงานของพรรคเพื่อไทยมาก่อน
ย่อมรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้ต่อนโยบายดังกล่าวหรือไม่ส่วนที่นางพวงเพ็ชรยืนยันว่านโยบายแจกเงินดิจิทัลสามารถทำได้จริง ให้ชั่งน้ำหนัก ระหว่างนายโภคินเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ทั้งอดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด อดีตรองนายกฯ อดีตประธานรัฐสภา เทียบเคียงกับนางพวงเพ็ชร พี่น้องประชาชนจะเชื่อใคร ให้ประชาชนชั่งน้ำหนักเอาเอง
...อย่าไปตื่นตกใจกลัว ย้อนดูสถิติพรรคไทยรักษาชาติ ขณะนั้นนางพวงเพ็ชรกุมบังเหียนอยู่ ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคเพราะอะไร อย่างไร ขณะเดียวกันกระบวนการตรวจสอบโดยภาคประชาชนต่อนโยบายพรรคการเมืองทุกพรรค จะทำให้ได้นายกฯ ผู้นำประเทศที่สง่างาม มีภาวะผู้นำสูง ยอมรับความเห็นต่าง มือสะอาด ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย คำว่าประชาธิปไตยกินได้ ไม่ได้หมายความว่า รับเงิน 300 บาท 500 บาท เข้าคูหาแล้วไปกาเบอร์นั้น พี่น้องประชาชนจะตกเป็นทาสไป 4 ปี อย่าไปขายเสียง ทุกคนมีศักดิ์ศรี ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เลือกพรรคการเมืองใด แต่ให้ประชาชนมีสติ ศึกษานโยบายทุกพรรคการเมือง วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียก่อนไปหย่อนบัตร อย่าให้ใครนำนโยบายขายฝันมาหลอกลวงได้” ดร.ณัฐวุฒิกล่าว
อนึ่ง Voice online รายงานว่า นายโภคิน พลกุล ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศพรรคไทยสร้างไทยแถลงข่าวโดยกล่าวถึงกรณีที่ พรรคเพื่อไทยมีนโยบายแจกเงิน ดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านวอลเล็ต โดยตั้งคำถามว่านโยบายการแจกเงิน ถูกต้องหรือไม่ ควรทำในระดับที่จำกัด เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในและความฝืดเคืองช่วงต้นๆเพราะไม่ก่อให้เกิดผลผลิตใดๆ และเงินดิจิทัล คืออะไร ควรแจกทุกคนหรือไม่ ถ้าเท่าเทียมตามรัฐธรรมนูญ ทำไมต้องแจกตั้งแต่อายุ 16
2) ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง และผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกมาบอกว่า งบประมาณปี 2567 เหลืองบประมาณให้ใช้แค่ไม่ถึง 200,000 ล้านบาทเท่านั้นตนขอบอกว่าที่เงินไม่พอก็เพราะพวกคุณใช้กันไปแบบไร้ประโยชน์ และถ้าเงินไม่พอจริง ผมก็จะไปรื้องบทหาร งบซื้อเรือดำน้ำ และงบลับของนายกรัฐมนตรีที่เขาปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึง ถ้าไม่พอเราจะไปค้นมาใช้เอง
“บอกเงินเหลือแค่ 200,000 ล้านบาท ไม่พอใช้ไม่เป็นไร ถ้าเงินไม่พอ งบเรือดำน้ำเราจะซื้อไปทำไม กฎหมายเรารู้ ระบบราชการเรารู้ เราจะไปรื้องบทหาร งบลับที่นายกฯนั้นแหละถืออยู่เงียบๆ เราจะไปเอางบที่ใช้กันอีลุ่ยฉุยแฉก เอามาเป็นงบประมาณมาใช้เพื่อปากท้องและความกินอยู่ที่ดีของประชาชน” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
3) นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เขียนข้อความเรื่อง “ภาระการคลังของการแจกเงิน” โดยระบุว่า ประชากรอายุ 16 ปีขึ้นไปมีประมาณ 85% ของประชากร 67,000,000 คน จึงเทียบเท่ากับประมาณ 55,000,000 คน แจกให้คนละ 10,000 บาท เทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายทั้งหมด 550,000 ล้านบาท ถามว่าจะเอาค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาจากไหน
ถ้าเงิน 550,000 ล้านบาท ที่ใช้จ่ายออกไปมีการเก็บภาษีวีเอที 7% เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็จะได้ภาษี 38,500ล้านบาท แต่จริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะร้านขายของในละแวกบ้านนอกอาจจะเป็นร้านเล็กๆ ยังไม่อยู่ในระบบภาษี แต่เอาเถอะ ยกผลประโยชน์ให้ว่า เก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเขาอาจจะโต้แย้งได้ว่าเงิน 550,000 ล้านบาท สามารถหมุนได้หลายรอบก็จะเก็บภาษีได้หลายรอบ และบริษัทที่ผลิตสินค้าขายได้มากขึ้นก็น่าจะเก็บภาษีนิติบุคคลได้มากขึ้น
ดังนั้น ยังต้องหาเงินมาโปะส่วนที่ขาดอีก 511,500 ล้านบาท ปัดตัวเลขกลมๆ เป็น 500,000 ล้านบาทเลยก็ได้ ถ้าไม่ขึ้นภาษีก็ต้องเบียดมาจากการใช้จ่ายรายการอื่นๆ ซึ่งไม่น่าจะเบียดมาได้มากนัก เพราะตัวเลข 500,000 ล้านบาท นี้เทียบเท่ากับ 17 ถึง 18% ของงบประมาณคาดการณ์ของปี 2566 จึงเป็นสัดส่วนไม่น้อย เมื่อหาเงินหรือลดค่าใช้จ่ายรายการอื่นไม่ได้ ก็ต้องกู้มาโปะส่วนที่ขาดดุลมากขึ้นนี้
อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีในปี 2023 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 61.36% ถ้าต้องกู้มากขึ้นอีก 500,000 ล้านบาทสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 2.8% รวมเป็น 64.16%
เราเคยตั้งเป้าว่าสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะไม่ให้เกิน 60% แต่ช่วงที่ผ่านมาเราต้องประคับประคองเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด จึงยอมให้สัดส่วนนี้สูงเกิน 60%และมีเป้าหมายจะดึงลงมาให้อยู่ในระดับ 60% โดยเร็ว
นโยบายแจกเงินนี้ มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะโตประมาณ 3 ถึง 4%โดยมีตัวช่วยคือการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาในช่วงโควิดรัฐบาลได้ใช้เงินไปในการพยุงเศรษฐกิจมามากพอแล้ว ปีหน้าจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องกระตุ้นต่อเนื่อง และการจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตโดยการใช้จ่ายเป็นวิธีที่ไม่รับผิดชอบ (ยกเว้นในกรณีจำเป็น อย่างเช่นในช่วงโควิดที่หัวรถจักรทางเศรษฐกิจตัวอื่นๆไม่ทำงาน) เพราะใช้แล้วก็หมดไป ไม่มีผลในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว
กรณีของสิงคโปร์มีการให้เงินกับประชากรคนละ 600 เหรียญ ตั้งแต่ช่วงที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมากมาย โดยกำหนดให้ไปเรียน หรือหาความรู้
เพิ่มเติมให้ทันกับวิทยาการใหม่เพื่อจะได้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ นโยบายแบบนี้เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการแจกเงินให้ไปใช้จ่าย ซึ่งทุกวันนี้ก็ใช้กันเพลินจนหนี้ครัวเรือนสูงมากเป็นปัญหาต่อเนื่องอยู่แล้ว
เห็นนโยบายไร้ความรับผิดชอบแบบนี้แล้วเศร้าใจค่ะ นอกจากการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงิน คอยแต่จะแบมือรับ แทนที่จะติดอาวุธให้ประชาชนมีทักษะ มีความสามารถในการยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน มากกว่าเงินช่วยเหลือจากนักการเมือง
4) ขณะที่ ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ประธานกรรมการกำกับความเสี่ยง ธนาคารธนชาต และอดีตนายกสมาคม สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊ก
ส่วนตัวแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย ซึ่งปรากฏเอกสารภายในพรรคเพื่อไทย มีชื่อ นายภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น หรือ บอล เป็นหนึ่งในคณะทำงานว่า
“...เห็นเอกสารที่คนส่งมาเรื่อง นโยบายดิจิทัลวอลเลตพรรคเพื่อไทย และเห็นชื่อคณะทำงานแล้ว ไปค้นชื่อคนทำแผนมาจากหลายสาขาวิชา แต่พอเห็นชื่อบางคน เช่นรายนี้ มีประวัติเคยโพสต์อยากเห็นเศรษฐกิจไทยพินาศก็เลยงงว่าให้มาร่วมทำงานได้ไง...”
ทั้งนี้ นายภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น เป็นอดีตนักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองได้เคยโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อปี 2558 ระบุว่า“ไม่รู้คิดแบบนี้โหดไปมั้ย...ตอนนี้ผมอยากให้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีสุดท้ายพังพินาศให้หมดทุกสาขา NPL เกิน 70% แรงงานตกงานเกิน 70% ที่สำคัญอยากเห็นภาคการเกษตรของประเทศล้มเหลวเกิน 70% ทั้งระบบ ทุกอย่างที่พูดมาต้องเละภายใต้ คสช.เท่านั้น อย่าเปลี่ยนเป็นรัฐบาลอื่นให้เละในรัฐบาลนี้ให้ได้”
สรุป :
1) การออกนโยบายเช่นนี้ ถูกตั้งคำถามว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ ทำได้อย่างไร กกต. รับรองแล้วหรือ?
2) ไหนบอกว่า พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ทำไมมีพฤติกรรมจะใช้กฎหมายปิดปากประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายนี้
3) เอาเงินจากไหนมาทำ ทำแล้วประเทศได้อะไร จะต้องกู้เงินหรือไม่
4) คณะทำงานของคุณ เคยอยากให้เศรษฐกิจประเทศฉิบหายมาก่อน นโยบายนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของความฉิบหายหรือเปล่า
เมื่อ “แจ๋น” พูดได้ “แจ๋น” ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้
ไม่งั้นจะกลายเป็น “ประชาธิปไตยแบบแจ๋นๆ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี