นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก ถึงกรณีการแย่งชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรระหว่าง “พรรคก้าวไกล” กับ “พรรคเพื่อไทย” โดยระบุว่า...
เรื่อง “ประธานสภา” ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เป็นเรื่อง “ความเห็นไม่ตรงกัน” ของพรรคร่วมรัฐบาลที่ “เล็กมาก” ถ้าหากเทียบกับภารกิจที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้พวกเรามา ดังนั้นพรรคร่วมรัฐบาลต้องจับมือเกี่ยวแขนกันไว้ให้มั่นคง ทำภารกิจยุติสืบทอดอำนาจรัฐประหาร พาประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยให้สำเร็จจงได้
พวกเราต่างก็รับทราบวิธีคิด หลักการ เหตุผล ของทุกฝ่ายชัดเจนแจ่มแจ้งในประเด็นนี้กันแล้ว ดังนั้น ผมขอให้เรื่องตำแหน่งประธานสภานี้ ให้พรรคร่วมรัฐบาลกลับไปพูดคุยกันผ่านตัวแทนแต่ละพรรคในวงเจรจาจะดีที่สุด ตอนนี้ ขอให้ทุกพรรคเดินหน้าทำงานปรับจูนนโยบายร่วมกัน ตั้งรัฐบาลให้สำเร็จตามความคาดหวังของประชาชนครับ”
ประเด็นนี้จะเป็นประเด็น “ทดสอบบารมี” ของนายพิธา ว่าจะแก้ปัญหาได้จบไหม? มีความเป็นผู้นำเพียงใด ใช่ “ตัวจริง” หรือเปล่า?
เพราะคนส่วนมากเชื่อกันว่า ปัญหาไม่สามารถจบได้ด้วย “นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวพน้าพรรคเพื่อไทยกับ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล เนื่องจากทั้งสองคนไม่ใช่ “เจ้าของพรรคตัวจริง” สภาพของทั้งคู่ในความรู้สึกของผู้คนคือ “นายหน้าคุยกับนายหน้า”หรือหนักกว่าคือ “หุ่นเชิดคุยกัน”
เรื่องนี้ หนึ่งในคนที่อาจเป็น “ผู้เชิด” หรือ“ผู้บงการ” ตามความเชื่อของคนจำนวนไม่น้อย เป็น “ผู้เป่านกหวีดเริ่ม”
1) มันเริ่มจาก เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2566 - นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กหัวข้อ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร : ตำแหน่งที่พรรคก้าวไกลเสียไปไม่ได้เป็นอันขาด” มีเนื้อหาว่า
“...การเมือง คือ ศิลปะของการทำสิ่งที่คนเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ แต่เมื่อดุลกำลังอำนาจยังไม่เพียงพอ การประนีประนอมกันเพื่อรักษาสถานะความเป็นไปได้ของการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ก็เป็นเรื่องจำเป็น
พรรคก้าวไกลมี สส. 152 คน ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว จำเป็นต้องตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคเพื่อไทยซึ่งมี สส. 141 คน
เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ค่อยปรากฏในแวดวงการเมืองทั้งไทยและต่างประเทศเท่าไรนัก หากพรรคก้าวไกลต้องการเป็นรัฐบาล ก็ต้องมีพรรคเพื่อไทยร่วมด้วยสถานเดียว หากไม่มีพรรคเพื่อไทยร่วมด้วย ก็ไม่มีทางที่พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล ปัญหามีอยู่ว่า พรรคก้าวไกลจะต้องถอยจนถึงเมื่อไร ต้องยินยอมถึงขนาดไหน เพื่อให้ทุกพรรคพอใจและตั้งรัฐบาลได้?และไปต่อได้?
ผมเห็นว่า การประนีประนอม การเจรจาต่อรองของพรรคก้าวไกล จะต้องไม่ไปถึงขนาดที่ยกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้กับ สส.พรรคอื่น โดยทั่วไป ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็มาจาก สส.ของพรรคอันดับที่หนึ่งอยู่แล้ว
กรณีสมัยที่แล้ว เป็นข้อยกเว้นอย่างยิ่ง เพราะ จำนวน สส.ซีกรัฐบาลมีมากกว่าอีกฝ่ายไม่กี่เสียง ทำให้พรรคพลังประชารัฐต้องยอมเสียตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแลกกับการสนับสนุนประยุทธ์
ในเมื่อครั้งนี้ ใครๆ ต่างก็บอกว่า ประสงค์จะให้การเมืองไทยกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ดังนั้น กฎเกณฑ์ในการเมืองไทยที่ใช้กันในสภาวะปกติ ก็ต้องถูกนำมาปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลเสียงข้างมาก รัฐบาลรวมเสียงได้กว่า 300 ก็ถือว่ามากพอแล้ว รวมไปถึง ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องมาจาก สส.ของพรรคอันดับหนึ่ง
นอกจากนี้ นโยบายของพรรคก้าวไกลที่ใช้รณรงค์หาเสียงจนได้คะแนนมากกว่า 14 ล้านเสียง หลายเรื่องต้องผลักดันผ่านสภา ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ
จึงจำเป็นต้องมี สส.ของพรรคตนเองทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคุมวาระและญัตติ
กล่าวจำเพาะกรณีการนิรโทษกรรมในคดีความผิดเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง และการแก้ไข ป อาญา มาตรา 112 (ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ไม่อยู่ใน MOUและไม่อยู่ในวาระร่วมหรือนโยบายของรัฐบาลแน่ๆ) พรรคก้าวไกลก็ต้องใช้กลไกสภาในการผลักดัน หากไม่ได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรมา ก็อาจประสบปัญหาอุปสรรคได้
มิพักต้องกล่าวถึง พรรคก้าวไกลต้องมีคนของตนเองทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคุมเกม ใช้และตีความข้อบังคับการประชุม และกำหนดทิศทางในการประชุมเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย
การประนีประนอมและการเจรจาทางการเมือง เป็นเรื่องเข้าใจได้ในการตั้งรัฐบาลผสม
แต่การถอยถึงขนาดยอมยกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พรรคอื่น เป็นเรื่องเข้าใจไม่ได้
หวังว่าพรรคก้าวไกลจะพิจารณาประเด็นนี้ให้ถ้วนถี่”
2) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย รักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย และผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ว่า #ประธานสภา #พรรคเพื่อไทย หากเคารพในหลักการ ประชาธิปไตยกันอย่างแท้จริง เมื่อมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องเข้าไปตัดสินด้วยการโหวตในสภาและเคารพเสียงข้างมากนะคะ
1.เพื่อไทยให้เกียรติ พรรคแกนนำมาตลอดตั้งแต่วันที่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยแสดงสปิริตทางการเมืองทันทียินดีกับพรรคอันดับ 1 และพร้อมร่วมมือไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลแข่งถึงคะแนนจะห่างกันเพียง 10 ที่นั่ง นั่นคือความจริงใจ
2.เรื่องบางเรื่องทำไม ไม่นำหารือกันในวงประชุมก่อนของทุกพรรคร่วม การประกาศผ่านสื่อ และสร้างความกดดันยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง
3.ตำแหน่งประธานสภา เป็นเรื่องของการคุมเกมส์ในสภา แม่นหลักการและกฎหมายให้เกียรติผู้อื่น และผู้อื่นให้ความเกรงใจ ต้องมีวัยวุฒิ คุณวุฒิ วุฒิภาวะ เพราะในอดีตก็เคยเกิดเหตุวุ่นวายในสภาตอนปี’56มาแล้วถ้ายังจำกันได้ และตรงนี้ ตำแหน่งประธานสภาบุคลากรของพรรคเพื่อไทยมีความเหมาะสมในทุกมิติ
4.ถ้ามองกันแบบมิตรจริงๆ และเชื่อใจกัน ประมุขฝ่ายบริหารเป็นของพรรคแกนนำอันดับ 1 และประมุขฝ่ายนิติบัญญัติเป็นของพรรคร่วม ก็ไม่น่ามีความกังวลใจใดๆ
ถ้ามองอย่างมิตร ยกเว้นว่าคุณไม่เคยมองเราเป็นมิตร
5.สุดท้ายหากมีการจัดสรร รมต.ในอนาคต ต้องเป็นไปตามความรู้ ความสามารถ ทีมงาน และความถนัดของแต่ละพรรค และเกิดจากการประชุมและตกลงร่วมกัน
การยอมเสียสละก็เพื่อรักษาไว้ซึ่งบางสิ่งอย่ามองว่าเสียสละกว่าใคร พรรคเพื่อไทยก็ถอยจนสุดแล้วเช่นกัน
3) นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ทรยศ?” โดยกล่าวว่า ขณะนี้เกิดวิกฤตการณ์กับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จากการที่บางพรรคการเมืองสะท้อนพฤติกรรมทรยศออกมา จนทำให้อนาคตของพรรคก้าวไกลเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ เนื่องจากส่อแพ้สันดานความชั่วช้า และเกมการเมืองของบางพรรคที่ลงนามในเอ็มโอยูร่วมตั้งรัฐบาลให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ
อีกทั้งเห็นว่า แม้พรรคก้าวไกลมีจุดบกพร่องเกี่ยวกับนโยบายกระทบต่อสถาบัน แต่หากตัดข้ออ่อนนี้ออกไปแล้ว การกระทำของพรรคเพื่อไทย ย่อมเข้าข่ายต่ำช้าอยู่ไม่น้อยกับที่พรรคอันดับสองแสดงพฤติกรรมแย่งชิงตำแหน่งประธานสภาฯ จากพรรคอันดับหนึ่ง ซึ่งไม่มีธรรมเนียมทางการเมืองมาก่อน
นายนิติธร เห็นว่า เมื่อเกิดการแย่งชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ขึ้น ข่าวนายพิธา ค่อยๆ หายไปสาธารณะ จึงเป็นเรื่องง่ายทำให้สังคมมองออกว่า สองพรรคนี้ใครมีพฤติกรรมอย่างไร ส่วนใครที่เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ควรทำใจไว้ล่วงหน้า เพราะจะไม่เสียใจทีหลัง เพราะแนวโน้มค่อนข้างไปจับมือร่วมตั้งรัฐบาลกันแน่นอน
พร้อมเสนอว่า เหตุผลที่พรรคก้าวไกลอธิบายถึงความต้องการตำแหน่งประธานสภาฯ นั้น ในทางการเมืองถือว่าไร้น้ำหนักต่อการต่อรองกับพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าพรรคก้าวไกลพูดกันอย่างจริงจังและชัดเจนว่า ต้องการตำแหน่งนี้นำชื่อนายพิธา ขึ้นเป็นนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องจริงถึงที่สุดแล้วถ้าเพื่อไทยได้ประธานสภาฯ ไปครอง จะต้องมีข้อตกลงให้ชัดเช่นกันว่า ต้องเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกฯ เท่านั้น เว้นแต่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองอย่างอื่นมาแทรกเสียก่อน
4) นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง “ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 26” ระบุว่า การเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเกิดขึ้นก่อนการเลือกนายกรัฐมนตรี โดยทั่วไปตำแหน่งนี้จะตกเป็นของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล แต่จะเป็นของพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนนั้น แล้วแต่จะตกลงกัน
ปกติตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรก็สำคัญมากอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้จะสำคัญมากเป็นพิเศษ หนึ่งในความสำคัญมากเป็นพิเศษก็เนื่องจากจะเกี่ยวข้องกับประเด็นมาตรา 112
ผมเชื่อว่าการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะไม่เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดเสียงข้างมากที่กำลังฟอร์มทีมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันอยู่ในขณะนี้แต่ผมก็ยังเชื่อเช่นกันว่า พรรคก้าวไกลจะเสนอร่างกฎหมายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112ในนามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ตรงนี้แหละครับคือประเด็น!
เพราะเมื่อเสนอร่างกฎหมายในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่ใช่จะเข้าสู่การพิจารณาโดยอัตโนมัติ จะต้องผ่านการวินิจฉัยจากประธานสภาผู้แทนราษฎรให้บรรจุเข้าระเบียบวาระเสียก่อนจึงจะพิจารณาได้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคก้าวไกลเคยเสนอร่างฯมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2564 แต่แม้เสนอแล้ว ก็ไม่เคยได้รับ
การบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลย จนครบวาระ แม้จะมีการทวงถามจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคก้าวไกลหลายครั้ง เพราะเข้าใจว่าท่านชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่แล้ววินิจฉัยว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 จึงไม่บรรจุเข้าระเบียบวาระ
เข้าใจว่าเป็นการวินิจฉัยโดยรับฟังความเห็นของสำนักการประชุม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เจ้าหน้าที่หน่วยงานฝ่ายประจำที่รับผิดชอบ สำนักการประชุมให้ความเห็นทางกฎหมายพอสรุปได้ว่า…
“ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เนื่องจากมีบทยกเว้นความผิดกับบทยกเว้นโทษ กรณีถ้าเป็นการติชม แสดงความเห็นหรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนั้นเป็นความจริงผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามมิให้พิสูจน์ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ส่วนพระองค์ และการพิสูจน์ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน…”
“บทบัญญัติยกเว้นความรับผิดกับการยกเว้นโทษดังกล่าวนี้ เห็นว่าน่าจะขัดกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ…”
ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่จะวินิจฉัยเหมือนหรือต่างจากประธานสภาผู้แทนราษฎรคนก่อนหากพรรคก้าวไกลเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามหลักการเดิมที่ปรากฏอยู่ในนโยบายของพรรค และตามตัวร่างพระราชบัญญัติที่เคยเสนอมาเมื่อต้นปี 2564 คือ “ย้ายหมวด- ลดบทลงโทษ - ยอมความได้ - เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด - ให้สำนักพระราชวังฟ้องแทน” เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรชุด 2566 อีกครั้ง?
พรรคต้นสังกัดของท่านประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญยิ่งต่อคำตอบนี้!
ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่่ 26 สำคัญไม่แพ้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30!!
สรุป : ก้าวไกล มี “วาระซ่อนเร้น” เรื่อง การแก้กฎหมายที่สังคมไทย “ระแวง” พ่วงอยู่ในตำแหน่ง “ประธานสภา”
ส่วนพรรคเพื่อไทยอาจใช้ตำแหน่ง “ประธานสภา”เป็นเครื่องแสดงการ “ถือไพ่เหนือกว่า” ควบคุม “พิธา”กับพรรค “ก้าวไกล” ไม่ให้ “เหลิง” และยอม “ก้มหัว”ลงมารับอาณัติสัญญาณ ซึ่งหากไม่ทำตาม อาจ “พลิกสถานการณ์” ที่ถึงขั้น “ดับฝัน” ตกสวรรค์ตกเก้าอี้นายกฯ ตกไปเป็นฝ่ายค้านกันเลยทีเดียว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี