พอล-ภัทรพล ศิลปาจารย์ อดีตดีเจ อดีตรองหนุ่มแพรว อดีตนักแสดง ที่ปัจจุบันหันมาเป็นนักธุรกิจ เป็นกูรูทางการจัดการเงิน ได้แสดงความคิดเห็นผ่านคลิปของเขาว่า
“เรียนถาม สว. ทั้ง 250 ท่านนะครับ ถ้าสุดท้ายแล้วเนี่ย สว. เป็นคนเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นคนชี้ชะตาได้ว่า คนนี้ฉันเอา คนนี้ฉันไม่เอา คำถามคือ แล้วคุณจะให้ กกต. ใช้งบ 6,000 ล้านบาท จัดการเลือกตั้งไปทำไมครับ คุณจะให้คน 40 ล้านคน ออกจากบ้านไปเลือกตั้งเพื่อ? ยังไม่รวมถึงพรรคการเมืองต่างๆ เขาก็ต้องใช้เงินในการหาเสียงใช่ไหมครับ เขาต้องออกแรงในการหาเสียง เขาต้องเดินทางไปปราศรัย ต้องไปดีเบต ไปให้สัมภาษณ์ เงินตรงนี้รวมกัน ดีไม่ดีเป็นหมื่นล้านบาทนะครับ วันเลือกตั้งนี่ ผมเห็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง อายุก็น่าจะประมาณ 80 แล้วนะครับ ใช้วอล์กเกอร์ ค่อยๆ เดินค่อยๆ เดินไปทีละก้าว ช้าๆ เพื่อไปเลือกตั้ง บางคนจากนอนโรงพยาบาล ขอคุณหมอว่าจะไปเลือกตั้งถ้าสุดท้าย เสียงประชาชนที่ออกไปเลือกตั้ง 40 ล้านเสียงนี่ไม่มีความหมายนะครับ คุณจะให้พวกเราเสียเงินเสียเวลา เสียแรง เพื่ออะไรครับ ถ้าจะเป็นแบบนี้ บอกตั้งแต่ต้นเลยครับ มาถามฉันก่อนนี่ ว่าฉันชอบคนแบบไหน ฉันจะยกมือให้ใคร ประกาศให้ทุกคนทราบไปเลยครับว่า ฉันจะยกมือให้คนคนเดียวนี่แหละ ผู้มีพระคุณของฉัน กกต. จะได้ไม่ต้องจัดการเลือกตั้ง ไม่ต้องไปดูงานต่างประเทศ เพราะดูไปก็ไม่มีประโยชน์ คน 40 ล้านคนก็อยู่บ้านดูทีวีดีกว่า จะได้รับทราบพร้อมกันไปเลยว่า เราอยู่เกาหลีเหนือ”
ผมอยากจะบอกพอล เหมือนที่บอกกับใครหลายๆ คนไปว่า “ให้เราพูดเรื่องที่เรารู้จะดีกว่า” เพราะมีคำพูดหนึ่งที่ผมเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า“บางเรื่อง ถ้าเราไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ว่าเราโง่”
กรณีของพอลนั้น เขาโง่หรือเปล่า ผมไม่ทราบ ทราบแต่ว่า สิ่งที่เขาพูดออกมาอย่างมั่นใจมากนั้น “ไม่สะท้อนการมีความรู้” และ “ขาดความเข้าใจ” อย่างรุนแรง
1) ก่อนแสดงความคิดเห็น พอลควรจะศึกษาว่ารัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างไร
รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มีกรณีเฉพาะเกิดขึ้นเมื่อมีบทเฉพาะกาลให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มาร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วยในระยะเวลา 5 ปี หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ นั่นแปลว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่ สว. จะมีสิทธิ์มาร่วมโหวตนายกฯ และ สว. ชุดนี้ก็กำลังจะหมดอายุ จากนี้ไป พวกเขาเป็น สว. อีกไม่ได้แล้วตลอดชีวิต (เว้นเสียแต่จะมีการแก้กฎหมายใหม่)
ถามว่า สว. ควรมาร่วมโหวตนายกฯ ไหม สำหรับผม ไม่ครับ
ไม่ใช่หน้าที่ของ สว. ยังไม่รวม “ที่มา” ของ สว.ที่ต่างไปจาก สส.ซึ่งได้รับการเลือกจากประชาชนทั้งหมด แต่ สว. ไม่ใช่
แต่เมื่อการทำประชามติ ซึ่งก็อีกนั่นแหละ กระบวนการทำก็ไม่สง่างาม คนรณรงค์ให้รับ ไปรณรงค์ที่ไหนก็ได้ คนรณรงค์ไม่รับ จำนวนหนึ่งถูกจับ ถูกปิดกั้นมันจึงมี “ตำหนิ”
แต่ถามว่า รัฐธรรมนูญให้ สว. เป็นตัวตัดสินชี้ขาดว่า ฉันจะให้คนนี้เป็นนายกฯ ไม่ให้คนนี้เป็นนายกฯจนถึงขั้นไม่ต้องจัดการเลือกตั้ง ไม่ต้องให้คนแก่ยักแย่ยักยันไปหย่อนบัตรที่คูหา อย่างที่พอลพรั่งพรูออกมานั่นหรือไม่
ไม่ใช่ครับ...
รัฐธรรมนูญให้ประชุมร่วมกันระหว่าง สส. กับ สว.เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยใช้เสียงกึ่งหนึ่งของที่ประชุม
แปลว่าอะไร?
แปลว่าถ้าพรรคการเมืองมีความสามารถรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง (สส. 500 + สว. 250 รวมเป็น 750กึ่งหนึ่งคือ 376 เสียง ก็ผ่าน สว. ทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ตัวชี้ขาด หรือผู้ปิดกั้น
แต่หากรวมเสียงได้ไม่ถึง ก็ต้องได้รับเสียงสนุบสนุนจาก สว. ซึ่ง สว. ก็มีสิทธิสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนก็ได้ อยู่ที่ “พฤติกรรม” ของว่าที่นายกฯ และพรรคของเขา ว่าเป็นภัยต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือหย่อนคุณสมบัติด้านหนึ่งด้านใด หรือเป็นที่กังวลระแวงว่า ถ้าได้มีอำนาจแล้ว จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเสี่ยง สว. ก็มีสิทธิไม่สนับสนุน
ถ้าโหวตไม่ผ่านรอบแรก ยังมีสิทธิมาหาเสียงสนับสนุนจาก สส.เพื่อให้เกินครึ่งได้นะครับ ประเด็นอยู่ที่พรรคการเมืองอื่นๆ เขาพร้อมสนับสนุนหรือไม่เท่านั้นเอง
2) กรอบคิดแคบๆ ที่ปราศจากความรู้ความเข้าใจแบบพอล แพร่หลายไปในโลกออนไลน์ และดึง “คนไม่รู้” มาสุมหัวกัน ดื่มด่ำกับความคิดนี้ จนกลายเป็น “คาถาศักดิ์สิทธิ์” ที่กำลัง “สวดภาวนา” กันอย่างหนัก ในเวลานี้
นั่นรวมถึงในเฟซบุ๊กเพจ “ปู จิตกร บุษบา” ของผม ที่มีผู้ใช้นามว่า “นวพล” มาแสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามแบบเดียวกับพอล
โดยเมื่อผมโพสต์ว่า...
“พระต้องบวชในโบสถ์ นายกฯต้องโหวตในสภา #ใจเย็นๆ นะกุ๊กไก่”
มีบุคคลชื่อ “นวพล” ได้กรุณามาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า...
“แล้วจะจัดการเลือกตั้งทำไมครับ!? เปลืองภาษีประชาชนมาก ถ้าจะเลือกในสภา ก็ไม่น่าเลือกตั้งแต่แรก เสียดายเงิน 6,000 ล้านบาท คิดซะหน่อย สตินะลุงๆ ป้าๆ”
ผมจึงได้ให้คำตอบแก่นวพลไปว่า
“ขอตอบ “นวพล” ดังนี้ จะในฐานะไหนก็ได้ ลุงหรือป้า ทางเราไม่เกี่ยงเลย 555...
1. น่าจะเป็น “นวพล” เอง ที่ต้อง “มีสติ” ก่อน เพื่อจะได้แบ่งปัน “ความรู้” สู่สาธารณะ เพราะทุกวันนี้โลกออนไลน์ “แบ่งปันความไม่รู้” แบบมั่นใจมาก...ว่ารู้ !!จนเลอะเทอะกันไปหมดแล้ว
2.#สติ แรกที่ “นวพล” ต้องมี คือ การเลือกตั้งที่จัดขึ้นนั้น เป็นการเลือก “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” #ไม่ใช่เลือกนายกรัฐมนตรี จะย้อนไปดูชื่อกฎหมายที่รองรับการจัดการเลือกตั้ง ดูชื่อที่หัวบัตรเลือกตั้ง ดูประกาศ กกต. หรือการรณรงค์ของพรรคการเมืองก็ได้
3.เพียงแต่ในการจัดการเลือกตั้งนั้น ระเบียบได้กำหนดให้พรรคการเมืองเสนอชื่อ ว่าที่ “นายกรัฐมนตรี” ไว้ก่อน พรรคละ ไม่เกิน 3 ชื่อ เพื่อให้ประชาชนทราบล่วงหน้า
4.คนที่จะได้เป็นนายกฯ คือคนที่ “สมาชิกรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่ง” เลือก แปลว่าอะไร แปลว่า สส. กับ สว. มาประชุมร่วมกัน ใช้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของที่ประชุมเป็น “มติ”
(สมัยก่อนใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร เพิ่งให้ สว. มาร่วมโหวต หลังรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้ ที่มี “บทเฉพาะกาล” ซึ่งเสนอโดยนายวันชัย สอนศิริ ว่า ในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีนับแต่ใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ สว. มาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งผมไม่เห็นด้วย และโหวตไม่เห็นชอบบทเฉพาะกาลในตอนที่มีการทำประชามติ)
5.เฉพาะคนที่ได้รับการเสนอชื่อไว้กับ กกต. จากพรรคที่มี สส. 25 คนขึ้นไปเท่านั้น จึงจะมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อ เพื่อรับการโหวตให้เป็นนายกฯ ในสภา
6.จะได้เป็นนายกฯ ก็ต่อเมื่อได้เสียงสนับสนุนเกินครึ่งของที่ประชุม โดยที่การลงมติ จะมีการขานชื่อสมาชิกทีละคน และให้คนคนนั้นประกาศว่าเลือกใคร
เราเรียกว่า การออกเสียงโดยเปิดเผย ไม่ใช่เป็นการลงมติลับ
7.ดังนั้น คุณพี่พิธา ผู้เล่นกีตาร์ได้ ร้องเพลงเป็น ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีสิทธิได้รับการเสนอชื่อในที่ประชุมสภา แต่ว่าจะได้ “เสียงเกินครึ่ง” จนได้เป็น #นายกฯ หรือไม่ ไม่ทราบ!!! แต่ที่แน่ๆ การขึ้นรถแห่ การเชิญหน่วยงานต่างๆ มาประชุม หรือขอไปพบ ตลอดจนการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนัดถัดไป คือวันที่ “ 6 มิถุนาคม” (ตามที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประกาศ) นั้น ยังไม่ใช่การเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแค่ #ผู้แสดงบทบาทว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี
8.ควรทราบว่า ไม่มีกฎหมายระบุว่า นายกฯ ต้องมาจากพรรคใด พรรคที่ได้ สส. มาก เป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับไหน เช่น คราวที่แล้ว นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ได้มาจากพรรคที่มี สส. อันดับหนึ่ง ส่วนพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี สส. อันดับหนึ่ง ก็ไม่ได้เสนอชื่อว่าที่นายกฯ ของพรรคตัวเองแข่งขันในสภาด้วย ไปเสนอชื่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่พรรคที่ได้ สส. อันดับหนึ่งเป็นนายกฯ เช่นกัน
สุดท้ายคะแนนโหวตแพ้ พล.อ.ประยุทธ์ (251 ต่อ 244 ในเสียง สส. พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เสียง สว. สนับสนุนอีก 249 เสียง เท่ากับเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วม) พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้เป็นนายกฯ
9.จากนั้น จึงเข้าสู่ขั้นตอนที่ ประธานรัฐสภานำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯแด่องค์พระประมุข, องค์พระประมุขมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ประเทศจึงจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นดำรงตำแหน่ง
10.นายกฯ คนใหม่ต้องตั้งคณะรัฐมนตรี องค์พระประมุขโปรดเกล้าฯแต่งตั้งรัฐมนตรี นายกฯ นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตามรัฐธรรมนูญ จากนั้น
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งหมด จึงจะมีอำนาจและหน้าที่บริหารประเทศ นายกฯและรัฐมนตรีรักษาการพ้นไป
นายกฯ จึงไม่ได้เลือกกันในคูหาเลือกตั้งครับ, ไม่ได้เลือกกันในโซเชียลหรือบนรถแห่ครับ “นวพล”,แต่ให้ “ผู้แทนราษฎร” คือ สส. กับ สว. ร่วมกันมีมติเลือกในสภาครับ (ซึ่งรอบหน้า สว. ไม่มีสิทธิมาโหวตแล้วครับ)
ดังนั้น อย่า #คิดไปเอง ว่า ชนะเลือกตั้งปุ๊บ ต้องได้เป็นนายกฯ เลย #มีเรื่องให้หาความรู้อีกมาก #อย่าเอาแต่ฝัน
ตามนี้นะ ครบเลยทั้ง “สติ” และ “ปัญญา” จากลุงและป้าที่เธอ...เหยียด!!!
3) ให้ระวังเอาไว้ว่า กรณี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ไม่ได้รับการโหวตเป็นนายกฯ เพราะเสียงสนับสนุนไม่พอ หากเขากลับมารวบรวมเสียงเพิ่มไม่ได้ ก็จะเป็นโอกาสให้พรรคเพื่อไทย รวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลแทน ซึ่งเขาอาจรวมเสียงได้สำเร็จก็ได้
4) แต่ถ้ายังโหวตนายกฯ ไม่ผ่าน ตั้งรัฐบาลกันไม่ได้ พึงทราบว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกำหนดทางออกไว้อีกว่า
“...ในกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 หรือไม่ก็ได้ (มาตรา 272 วรรคสอง)
นายกฯ “นอกบัญชี” อาจจะโผล่มาตอนนี้
สรุป : การเลือกตั้ง การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี จึงมีขั้นตอนของมันที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจ ซึ่งน่าสนใจว่า “พรรคก้าวไกล” ทำไมไม่ทำให้คนเข้าใจ แต่เลือกทำให้คนสงสัย สว. แทน!
การเลือกนายกฯ ต่างกับการเลือกประธานนักเรียน ประธานสีในกีฬาสี หรือหัวหน้าหมู่ลูกเสือ ที่ใครได้เสียงข้างมากมา ก็เป็นเลย
เสียงของพรรคก้าวไกล (จำนวน สส.) อาจจะมากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองด้วยกัน
แต่ไม่ได้มากเกินครึ่งของเสียงจากประชาชนทั้งประเทศ
พึงสำเหนียกเรื่องนี้ไว้ด้วย!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี