หลายคนบ่นว่า โลกเรายุคนี้ อยู่ยากกว่าเดิมมากเหลือเกิน ปัญหามากมายเกิดขึ้นทุกวัน แต่ละปัญหาไม่ซ้ำกันเลยป้ญหาเก่าก็คาราคาซัง ปัญหาใหม่ก็ถาโถมเข้ามาทุกวัน เราจะอยู่กันอย่างไร
ปัญหาต่างๆ นานา สารพัดเกิดขึ้นตลอด เช่น ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหามลภาวะต่างๆ ปัญหาเศรษฐกิจ รวมเรียกว่ามีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเกิดขึ้นเป็นประจำ และปัญหาก็รุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ
ปัญหาการสู้รบกันระหว่างประเทศ ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บปัญหาข้าวยากหมากแพง ปัญหาโลกร้อน ปัญหาภายในครอบครัว ปัญหาต่างๆ นานา เหล่านี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของคนที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ปัญหาดังกล่าวลุกลามบานปลายขยายไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศที่ได้ชื่อว่าพัฒนาแล้ว แล้วก็ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศด้อยพัฒนา
หลายคนเห็นภาพคนจรจัดกระจายอยู่เต็มเมืองต่างๆ ในสหรัฐฯ นอนกันระเกะระกะตามริมถนนในเมืองใหญ่ ซึ่งดูแล้วอาจจะไม่ต่างไปจากประเทศที่เกิดสงคราม เช่น ยูเครน ที่เราเห็นว่ามีคนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่ๆ ปลอดภัย แต่สำหรับปัญหาคนจรจัดในสหรัฐฯ เป็นปัญหาที่เกิดจากความยากจน
ถามว่าปัญหาที่เราเห็นในยูเครนกับสหรัฐฯ จะมีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือไม่ คำถามนี้หลายคนอาจจะตอบต่างกันไป แต่ก็ต้องถามกลับอีกทีว่า แล้วทำไมคิดว่าปัญหาทำนองนั้นจะไม่เกิดขึ้นในเมืองไทย
ทุกวันนี้ แม้ไทยจะไม่มีศึกสงครามจากต่างชาติเข้ามารุกราน แต่ก็ใช่ว่าสถานการณ์ภายในประเทศจะสุขสงบ และราบรื่นปราศจากความขัดแย้ง บ้านเราไม่มีสงครามจากภายนอกก็จริง แต่ภายในประเทศก็มีผู้พยายามสุมไฟความขัดแย้งให้เกิดขึ้นทุกวัน แล้วความขัดแย้งก็ฝังรากลึกลงไปเรื่อยๆ ยิ่งนับวันก็ยิ่งพบว่าสังคมมีความร้าวลึกมากขึ้นเป็นลำดับ
ส่วนปัญหาเศรษฐกิจในประเทศไทยก็ใช่ว่าจะเบาบาง แม้หลายคนจะยังมองแบบผิวเผินว่าทุกวันนี้ก็ยังมีข้าวกิน มีบ้านอยู่ มีงานทำ แต่ก็ต้องไม่ลืมความจริงว่าประเทศไทยยังมีปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในอัตราสูงมากจนน่าเป็นห่วง แล้วก็ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจไทยนั้นต้องพึ่งพาอาศัยการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดีเอาเสียเลย ก็หมายความว่าเศรษฐกิจไทยจะดีไปได้ยากมาก ในเมื่อสหรัฐฯ มีเศรษฐกิจเลวร้าย แล้วไทยต้องค้าขายกับสหรัฐฯ ในฐานะประเทศนำเข้าสินค้าจากไทยรายสำคัญ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้อย่างไร
บางคนอาจจะกระหยิ่มใจ เพราะคิดว่าจีนยังมีฐานะเศรษฐกิจที่ดี ดังนั้นไทยก็หันไปค้าขายกับจีนแทนการค้าขายกับสหรัฐฯ แต่ในความจริงนั้น เศรษฐกิจจีนก็หาได้ดีงามตามที่หลายคนเข้าใจไม่ เพราะจีนก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจภายในมากขึ้นทุกวัน แต่ที่ยังดูเสมือนว่าจีนยังมีกำลังซื้อสูง เพราะว่าจีนมีประชากรชนชั้นกลางจำนวนหลายร้อยล้านคน ดังนั้น คนกลุ่มนี้ก็ยังคงพอจะมีกำลังซื้อหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็จะพบความจริงว่าชนชั้นกลางในจีนก็ระมัดระวังเรื่องการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าเดิม เพราะไม่แน่ใจในเศรษฐกิจของจีน
ขอพูดย้ำๆ ซ้ำๆ ว่าเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลก และมีความสัมพันธ์กับห่วงโซ่อุปทานของโลก นั่นคือเศรษฐกิจไทยมีความโยงใยกับเศรษฐกิจโลก โดยผ่านความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ เช่น ตลาดเงิน ตลาดแรงงาน และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสงบและความขัดแย้งของสมาชิกโลก ซึ่งปัจจุบันมักเรียกว่าปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น จึงต้องย้ำๆ และย้ำว่า เศรษฐกิจไทยจะไม่มีวันเข้มแข็งและมั่นคงได้ด้วยตัวเอง ตราบใดก็ตามที่เศรษฐกิจไทยยังผูกพันใกล้ชิดกับเศรษฐกิจโลก แล้วก็คงจะไม่มีวันที่เศรษฐกิจไทยจะไม่ต้องพึ่งพิงระบบเศรษฐกิจโลก
คราวนี้ หันมาดูปัจจัยภายในประเทศไทยกันบ้าง อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ประเทศไทยนั้นแม้จะไม่มีศึกสงครามภายนอกก็จริง แต่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศมิได้สงบราบรื่นเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าคนไทยส่วนหนึ่งก็พยายามสุมไฟแห่งความไม่สงบตลอดเวลา ดูๆ แล้วก็คล้ายๆ ว่าต้องการจะเผาบ้านเผาเมืองของตนเองให้มอดมลายไป
ถามว่าคนไทยส่วนใหญ่รักชาติรักบ้านเมืองของตนหรือไม่ ตอบว่า น่าจะรัก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่น่าจะรักบ้านรักเมืองของคนเอง เพราะคนจำพวกที่ว่านั้นพยายามก่อเหตุปั่นบ้านป่วนเมืองตลอดเวลา ข้ออ้างของคนกลุ่มที่ต้องการทำลายประเทศคือ สร้างเรื่องการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเป็นเหตุ อ้างว่าต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้น ต้องการทำให้บ้านเมืองทันสมัยขึ้น ต้องการเข้ามาทำลายล้างระบบระเบียบเดิมของบ้านเมืองลง เช่น อ้างว่าต้องเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบกษัตริย์ แต่จริงๆ คือเข้ามาเพื่อทำลายล้างระบบกษัตริย์ ด้วยข้ออ้างเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้น
ข้ออ้างเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้น จึงจำเป็นต้องทำให้ทุกชนชั้นเท่าเทียมกัน ข้ออ้างนี้ฟังแล้วดูเสมือนดี แต่ทว่าเป็นข้ออ้างที่เต็มไปด้วยความมดเท็จ เพราะไม่เคยมีสังคมไหนบนโลกใบนี้ที่มีความเท่าเทียมกันของทุกชนชั้นอย่างแท้จริง เพราะแต่ละชนชั้นต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตนเอง เพื่อให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น
คนที่อ้างว่าต้องการความเท่าเทียม โดยต้องการทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ยังต้องการมีอำนาจ มีสถานะที่สูงส่งกว่าคนอื่นๆ ดังจะเห็นได้ว่าเขาเหล่านั้นกระสันจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และต้องการมีอำนาจรัฐมากกว่าคนอื่น
อันที่จริง สังคมไทยไม่ได้อยู่ยากไปกว่าเดิมเลย แต่ที่หลายคนคิดว่ามันอยู่ยากขึ้นก็เพราะหลายคนไม่คิด ไม่ไตร่ตรองว่าอะไรคือตัวปัญหา เท่านั้นยังไม่พอ หลายคนยังนำตัวเข้าไปสร้างปัญหาเพิ่มให้กับสังคมอีกด้วย โดยเฉพาะคนที่ไม่มีปัญญาและไม่มีความสามารถบริหารบ้านเมือง แต่กระสันจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี
ขออภัยที่ต้องบอกตรงๆ ว่า หากปล่อยให้คนไร้ปัญญาไร้ความสามารถ ไร้คุณธรรมเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีได้ ก็หมายความว่าช่วยกันเผาบ้านเผาเมืองให้มลายไปเร็วขึ้น ลืมไปหรือเปล่าว่า ที่ผ่านๆ มานั้น บ้านเมืองนี้ก็เต็มไปด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ไร้ความสามารถ ไร้สัจจะ ไร้ความเป็นคน เข้าไปทำลายบ้านเมืองมาโดยตลอด แล้วเราจะยังปล่อยให้คนไร้คุณธรรมเข้าไปเป็นนายกร้ฐมนตรี และรัฐมนตรีอีกหรือ การทำเช่นนี้ หมายความว่าเราทำให้ตัวของเราเองอยู่ยากมากขึ้น ใช่หรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี