ใครที่รู้จักสถานีโทรทัศน์ไอทีวีของประเทศไทย ก็ต้องรู้โดยทันทีว่าเป็นสถานีข่าว สถานีโทรทัศน์ช่องนี้ออกอากาศครั้งแรกประมาณกลางปี 2539 แล้วหลังจากนั้นอีกหลายปีก็ประสบปัญหาต่างๆ นานาจนต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ทีไอทีวี แล้วก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนกลายมาเป็นไทยพีบีเอส
ย้ำว่าไอทีวีคือสถานีข่าว ไอทีวีเป็นบริษัทผลิตข่าวและสารคดี เพราะฉะนั้นเมื่อไอทีวีออกหุ้นมาในระยะหลังหลังจากไอทีวีเปลี่ยนมือไปอยู่ใต้การควบคุมของทักษิณ ชินวัตร เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องบอกว่าหุ้นไอทีวีคือหุ้นของบริษัทสื่อสารมวลชน
ถามว่าปัจจุบันไอทีวีออกอากาศไหม ตอบว่า ไม่ได้ออกอากาศ แต่บริษัทไอทีวียังคงอยู่ หุ้นของไอทีวี ก็ยังคงอยู่ ดังนั้นคนที่ถือหุ้นไอทีวีก็คือถือหุ้นบริษัทผลิตงานด้านสื่อสารมวลชน ย้ำว่าไอทีวียังไม่ได้ประกาศปิดกิจการ ปิดบริษัท นั่นคือบริษัทไอทีวียังไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน หุ้นและบริษัทไอทีวียังอยู่
ส่วนคนถือหุ้นไอทีวีจะชื่ออะไรบ้าง รวมถึงมีชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ด้วย เรื่องนี้ก็ถือว่าคนที่ถือหุ้นไอทีวีล้วนถือหุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าด้านสื่อสารมวลชน เพราะฉะนั้น กฎหมายห้ามชัดเจนว่า สส. นักการเมือง รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ถือหุ้นบริษัทสื่อสารมวลชนไม่ได้สรุปว่ากฎหมายว่าไว้ชัดเจน ดังนั้นหากคนถือหุ้นไอทีวีเป็น สส. นักการเมือง รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ก็คือผิดกฎหมาย
ส่วนการที่คนสอนกฎหมายจากบางสำนักตะแบงว่า ถือหุ้นเพียงไม่กี่หุ้น ไม่สามารถเข้าไปบงการหรือชี้นำกิจการของบริษัทได้ ต้องบอกว่าการอ้างแบบนี้คือการอ้างที่ไม่เคารพกฎหมาย เมื่อเป็นคนสอนกฎหมายแต่ไม่เคารพกฎหมาย แล้วจะหน้าทนสอนกฎหมายไปเพื่ออะไร ไปหางานอื่นทำเสียดีกว่า อย่าอยู่เพื่อทำให้วงการการสอนกฎหมายตกต่ำไปกว่านี้เลย ไปเป็นเลขานุการส่วนตัวของนักการเมืองที่ถือหุ้นไอทีวีก็ได้ หรือจะไปเป็นคนขับรถให้นักการเมืองถือหุ้นไอทีวีก็ยังได้ อย่าสอนกฎหมายอีกต่อไปเลย เพราะสมเพชคนเรียนกฎหมายที่ต้องเรียนกับคนสอนกฎหมายที่ไม่เคารพกฎหมาย
ส่วนนักข่าวเก่าของไอทีวีบางจำพวกที่ออกมาบอกว่าไอทีวีปิดตัวไปแล้ว ก็ต้องถามว่าไอทีวีประกาศปิดบริษัทเมื่อไรหรือ มีหลักฐานว่าไอทีวีประกาศปิดกิจการหรือ ส่วนเรื่องที่พวกเธอเหล่านั้นเคยร้องห่มร้องไห้จะตายจะเป็นในวันที่ไม่มีไอทีวีให้พวกเธอทำงานต่อไป ไม่ได้หมายความว่าไอทีวีปิดกิจการ แต่มันเป็นเพียงไอทีวีไม่ได้มีสถานีโทรทัศน์ให้นำเสนอข่าวอีกต่อไป พวกเธอนึกเอาแค่ว่าพวกเธอตกงานจากไอทีวีแล้วเข้าใจว่าไอทีวีปิดบริษัทไปแล้วหรือ เธอน่าจะรู้ดีว่า เธอได้เงินจากไอทีวีไปแล้วเท่าไร
ส่วนคำว่ากบฏไอทีวีนั้น ก็เป็นเพียงคำมายาเท่านั้น คนไอทีวีมีมากกว่าพวกเธอที่ร่วมตัวกันร้องไห้ร้องห่มในวันวาน คนไอทีวีมีมากกว่าพวกเธออีกหลายเท่า แต่เขาไม่ได้ออกมารำพันพิลาปจนกลายเป็นข่าวเหมือนที่พวกเธอบางคนทำในวันเก่าวันก่อน
มาวันนี้ นักข่าวเก่าจากไอทีวีบางรายมาบอกว่าไอทีวีไม่มีแล้ว แถมยังออกมาประกาศเสมือนยืนยันว่าพิธาไม่ผิด เพราะไอทีวีไม่มีอีกแล้ว ถามเหมือนเดิมอีกครั้งว่า เธอไปเอาหลักฐานมายืนยันสิว่า ไอทีวีปิดตัว ปิดกิจการ ปิดบริษัทไปตั้งแต่วันเวลาใด ปีไหน เดือนอะไร เอาหลักฐานมายืนยันสิเธอ
งานนี้ ให้จับตามองให้ดีว่าอาจจะมีคนทำงานสื่อฯ บางรายต้องติดคุก เพราะจงใจนำเสนอข่าวเท็จ แต่มิใช่ข่าวเท็จธรรมดาทั่วไป เพราะเป็นข่าวเท็จที่ดูเสมือนว่าจงใจฟอกขาวให้พิธาอีกด้วย
ทุกคนในประเทศไทยที่เคยดูรายการข่าวและรายการอื่นๆ จากไอทีวีเมื่อปี 2539 ย่อมรู้ดีว่า ไอทีวี คือบริษัทสื่อสารมวลชน ไอทีวีไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อขายรองเท้าแตะ ขายไข่เป็ดไข่ไก่ หรือขายปลาร้า ย้ำว่าไอทีวี คือบริษัทสื่อฯ ไอทีวีในยุคแรกน้้นทำข่าวเป็นอย่างเดียว ไม่เคยทำละเม็งละครหรือเกมโชว์ใดๆ เนื่องจากคนที่ทำงานข่าวในไอทีวียุคแรกๆ มาจากนักข่าวทั้งนั้น ไม่มีใครทำละครหรือเกมโชว์เป็นแม้แต่คนเดียว จนวันหนึ่งเมื่อไอทีวีเป็นสมบัติของทักษิณ ชินวัตร ไอทีวีก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะนำเอาละครเกาหลีมาฉายจนโด่งดังไปทั้งเมือง และก็ยังทำเกมโชว์ด้วย แต่ทว่าเกมโชว์ของไอทีวีนั้นไปไม่รอด ตกม้าตาย สร้างความเสียหายให้ไอทีวีไปมากโข
ปิดท้ายสรุปประเด็นไอทีวีมีหุ้น หุ้นไอทีวีเกิดขึ้นในยุคไอทีวีทำข่าวเป็นหลัก หุ้นไอทีวีคือหุ้นของบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อฯ ดังนั้นพิธาจึงถือหุ้นสื่อฯ ส่วนนักข่าวที่ช่วยฟอกข่าวให้พิธาจะต้องเจอคดีอะไรหรือไม่ ติดตามดูต่อไป อีกไม่นานคงรู้ ย้ำก่อนลากันในวันนี้ว่า ไอทีวีเป็นบริษัทสื่อฯ หุ้นไอทีวีคือหุ้นสื่อฯ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี