เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเริ่มต้นปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย เพราะทรงเห็นว่าสยามในยามนั้นอุปมาดั่งเรือที่ผุแล้วทั้งลำ ไม่สามารถตัดปะซ่อมเล็กน้อยได้ จำเป็นต้องยกซ่อมใหญ่ทั้งลำ และเพื่อการนี้ทรงโปรดเกล้าฯให้ตั้งหน่วยงานสำคัญขึ้นเพื่อเป็นฐานใหญ่หรือกองบัญชาการใหญ่แห่งการปฏิรูป
นั่นคือหน่วยงานที่กลายมาเป็นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบันนี้ เพราะทรงทราบเป็นอย่างดีว่าบ้านเมืองจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพัฒนาปฏิรูปให้เดินหน้าไปได้ จะต้องดำเนินการด้วยระบบนิติรัฐ ซึ่งต้องอาศัยกฎหมายเป็นพื้นฐาน
ทรงระดมผู้มีความรู้ด้านกฎหมายและด้านอื่นๆ ที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศและที่มีประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินอันเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเข้ามาทำงานในกองบัญชาการใหญ่แห่งการปฏิรูปนั้น และด้วยเหตุนี้จึงทำให้การถ่ายโอนอำนาจจากผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและระบบงานดั้งเดิมเข้ามาอยู่ในพระราชอำนาจที่ทรงสามารถบริหารจัดการได้ดังพระราชหฤทัย
กองบัญชาการใหญ่แห่งการปฏิรูปสยามได้ปฏิบัติภารกิจสมดังพระราชประสงค์ ประเทศไทยกลายเป็นประเทศกลุ่มแรกของเอเชียที่ได้ปฏิรูปและสร้างระบบกฎหมายที่ก้าวหน้าเป็นสากล เป็นระบบและใช้เป็นหลักในการบริหารบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงขั้นที่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิแห่งญี่ปุ่นต้องส่งคนมาดูงาน
การปฏิรูปประเทศไทยทำให้สยามกลายเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในภูมิภาคนี้ กลายเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค และเป็นศูนย์รวมของการแข่งขันของชาติมหาอำนาจแห่งยุคในสมัยนั้นที่แหลมคมและเข้มข้นที่สุด
และด้วยพระปรีชาสามารถอันเป็นเลิศในโลกในขณะที่บรรดาประเทศทั้งหลายในเอเชียต่างย่อยยับอับจน กลายเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคม แต่สยามประเทศก็ยังดำรงความเป็นไทแก่ตนและเจริญก้าวหน้า จนกระทั่งมหาอำนาจต้องทำสนธิสัญญาลับกันเองที่จะไม่ยึดครองแบ่งแผ่นดินประเทศไทยอีกต่อไป
กองบัญชาการใหญ่แห่งการปฏิรูปได้พัฒนามาโดยลำดับจนมาเป็นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่สืบทอดระบบการทำงานมาตั้งแต่ยุคสมัยนั้น ดำเนินการเรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงเลขาธิการกฤษฎีกาคนสำคัญคือ ดร.หยุด แสงอุทัย ดุษฎีบัณฑิตไทยคนแรกที่จบการศึกษากฎหมายจากเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้กฎหมายระบบลายลักษณ์อักษรและรวบรวมเป็นประมวล เป็นประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายที่ดีที่สุดของโลก
ดังนั้นการตรากฎหมาย การวางหลักงานนิติบัญญัติ จนกระทั่งถึงสิ้นยุด ดร.หยุด แสงอุทัย จึงเป็นระบบประมวลและเป็นลายลักษณ์อักษรที่แทบไม่มีปัญหาการตีความใดๆ เลย
สิ้นยุค ดร.หยุด แสงอุทัย แล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็เปลี่ยนสีแปรธาตุ เพราะนำการบริหารโดยผู้จบการศึกษาจากอังกฤษบ้าง สหรัฐบ้าง ซึ่งใช้ระบบคอมมอนลอว์ คือไม่ใช้ลายลักษณ์อักษร และตรากฎหมายขึ้นตามสถานการณ์เป็นเรื่องๆ ไป ดังจะสังเกตเห็นได้ถึงการออกกฎหมายของรัฐสภาสหรัฐ ที่ออกกันตามสบายใจโดยอาศัยความเป็นมหาอำนาจ เช่น ออกญัตติให้แทรกแซงประเทศไทยอย่างหน้าตาเฉย หรือออกกฎหมายที่ใช้บังคับโดยละเมิดอธิปไตยของประเทศอื่นจนปั่นป่วนวุ่นวายกันไปทั้งโลก
กล่าวได้ว่าหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหมดยุค ดร.สมภพ โหตระกิตย์ แล้ว ระบบการตรากฎหมายของประเทศไทยก็พลิกโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิงและโดยหลังจากนั้น นายมีชัย ฤชุพันธุ์ คือหัวเรือใหญ่ที่ครองอำนาจในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาจนถึงทุกวันนี้
ทำให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีคณะกรรมการที่ไม่มีกำหนดวาระ ไม่มีกำหนดอายุ คือเป็นกันจนตายกันไปข้างหนึ่ง ดังจะเห็นได้ว่าบางคนดำรงตำแหน่งมาถึง 40 ปี จนอายุใกล้ร้อยปี มาทำงานก็แทบไม่ไหวนั่งประชุมก็แค่ 15 นาที ก็ต้องประคองกลับบ้าน มีการลอกเลียนระบบของศาลฎีกาที่วินิจฉัยคดีโดยที่ประชุมใหญ่ให้มีการจัดตั้งคณะพิเศษในการวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ในการบริหาร ทำหน้าที่เป็นองค์กรสูงสุดในการชี้ขาดปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน โดย นายมีชัย ฤชุพันธุ์ จะทำหน้าที่ประธานโดยทั่วไป
สิทธิ์พิเศษมากหลายนอกจากไม่มีวาระ ไม่มีกำหนดอายุ และยังไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วย ทั้งๆ ที่การวินิจฉัยปัญหาการบริหารบางเรื่องอาจมีส่วนได้เสียนับแสนล้านบาท ที่สำคัญไม่มีระบบบรรทัดฐานในการวินิจฉัยเหมือนกับระบบของศาลยุติธรรม
ดังนั้นการวินิจฉัยจึงเป็นไปตามสถานการณ์และเป็นไปตามกรณีและโดยไม่มีระบบตรวจสอบใดๆ เข้าไปตรวจสอบได้
การทำร่างกฎหมายก็จัดทำขึ้นตามความประสงค์ทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้นของนักการเมืองที่มีอำนาจแต่ละยุคสมัย และยิ่งมีการใช้กลุ่มบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้าไปเป็นแกนหลักในการร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร จึงทำให้ระบบกฎหมายของบ้านเมืองฟั่นเฟือนแปรเปลี่ยนไปดังที่รู้เห็นกันทั้งประเทศในปัจจุบันนี้
กฎหมายซึ่งเป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองสับสนอลหม่าน แทบทุกเรื่องต้องมีปัญหาและต้องมีการตีความจนเกิดความสับสนขัดแย้งกันทั้งบ้านทั้งเมือง แม้กระทั่งอะไรเป็นสื่อก็วิปริตผิดเพี้ยนแปรปรวนไปสิ้น ดังตัวอย่างเช่นการใช้เฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรมซึ่งเป็นสื่อยุคดิจิทัล ที่สามารถรายงานข่าวสารถึงคนนับแสนนับล้านได้ในพริบตา กลับไม่อยู่ในข่ายที่อ้างว่าเป็นสื่อ ในขณะที่ไอทีวีซึ่งปิดกิจการเพราะถูกยึดใบอนุญาตและคลื่นสัญญาณวิทยุไป 16 ปีแล้ว กลับเป็นประเด็นปัญหาที่ถกเถียงกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าเป็นสื่อหรือไม่ จะมีความวิปริตใดเล่าเท่ากับความวิปริตในระบบกฎหมายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรานี้
นี่คือสมุฏฐานที่ทำให้บ้านเมืองไร้ขื่อแป และกำลังใกล้เกิดเป็นกลียุคเต็มทีแล้ว ดังนั้นจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องปฏิรูปกฎหมาย โดยจะต้องเริ่มต้นที่การปฏิรูปสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนเพื่อน และนั่นก็หมายถึงเป็นการปิดฉากของขบวนการเรือแป๊ะที่ครองอำนาจแท้จริงในประเทศนี้มากว่า 40 ปีแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี