ในเดือนมิถุนายนนี้ วันวิสาขบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง พวกเราชาวพุทธก็จะมีการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อถือกัน ด้วยการทำบุญตักบาตรเข้าวัดวาอาราม ฟังพระภิกษุสงฆ์เทศนาสั่งสอนว่าด้วยหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า หลายๆ คนก็จะนั่งสมาธิวิปัสสนา ไตร่ตรองและทบทวนตนเองทั้งกายและใจ หาความนิ่งสงบภายใน และหลายๆ คนก็ตั้งจิตอธิษฐานที่จะกระทำแต่ความดีที่เป็นกุศล และละเว้นกรรมใดๆ ที่เป็นอกุศลทั้งปวง
ผมเองก็ได้ใช้โอกาสของวันเวลาในการทบทวนองค์ความรู้ความเข้าใจ และหลักปฏิบัติของพุทธศาสนา เพราะเห็นว่าตัวตนของตนเองนั้นก็ได้ดำรงตนเป็นพุทธมามกะตามวัฒนธรรม หรือขนบธรรมเนียมประเพณี (Cultural Buddhist) แต่ก็มักจะขาดซึ่งความลึกซึ้งเกี่ยวกับคำสั่งสอนและการปฏิบัติที่ถูกที่ควร เพื่อให้หลุดพ้นจากการจองจำอยู่กับอารมณ์ และความไม่สมปรารถนาทั้งหลายทั้งปวง
ในขณะเดียวกันก็ตั้งจิตมุ่งมั่นระลึกถึงองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ท่านได้มีความเสียสละ มีความอุตสาหะเพียรพยายาม และค้นพบปรากฏการณ์ หรือธรรมชาติที่เป็นจริงและแนวทางการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และความเป็นพุทธทั้งหลายทั้งปวง โดยความสุขสงบนั้นมิได้อยู่ที่นอกกาย แต่อยู่ข้างในที่จิตที่ใจของกายเรา
การค้นพบซึ่งที่ไปที่มาของประเด็นปัญหา และการหลุดพ้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนด้วยตัวตนของตนเองสามารถกระทำได้ ไม่ต้องพึ่งพาผีสางเทวดาใดๆ ทั้งสิ้น อริยสัจ 4 คือผลของการค้นหาด้วยความมานะอุตสาหะ และพระองค์ได้ทรงแนะแนวในรูปแบบและเส้นทางของมรรค 8 เพื่อการหลุดพ้นจากวัฏจักรของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อความสุขสงบเป็นการถาวรตลอดไป
ผมได้ไตร่ตรองและทบทวน และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มิใช่พระเจ้ามาเกิดบนแผ่นดินโลกนี้ ทรงมีความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในแง่ที่ว่า ได้เห็นสภาพชีวิตของมนุษย์ที่ไม่สบอารมณ์ต่างๆ แล้วก็ตั้งคำถามว่า แล้วจะหลุดพ้นได้อย่างไรเพื่อความปิติสุขอย่างแท้จริง โดยได้เพียรพยายามค้นหาคำตอบด้วยการปฏิบัติต่างๆ นานา ผ่านการใช้สติปัญญาค้นคิดค้นหาซึ่งทางออก เสมือนว่าได้ทำการค้นคว้าวิจัยและทดลองเยี่ยงนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เป็นเวลาถึง 6 ปี และเมื่อได้คำตอบก็มิได้ทรงเก็บไว้กับตัวพระองค์เอง แต่ยังมีความคิดอ่านที่จะแบ่งปันเพื่อให้มวลมนุษยชาติได้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น จากความเป็นอวิชชา และความหลงใหล ยึดมั่น ถือมั่น กับโลกแห่งมายา
พระองค์ท่านได้ตระเวนไปทั่วชมพูทวีปทางภาคเหนือเป็นเวลาถึง 45 ปี สะท้อนซึ่งความเสียสละ ความเพียรพยายาม และความมุมานะ ที่จะให้เพื่อนมนุษย์ได้ตระหนัก และมีหนทางที่จะหลุดพ้นจากความไม่พึงพอใจ และความไม่สมประสงค์ทั้งปวงในชีวิตนี้ โดยไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีก
เมื่อได้เห็น ได้ตระหนักในความเสียสละ ความเพียรมุมานะขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่า เรามักจะอ่อนไหวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ แทนที่จะมีความมุมานะที่จะกระชับและเหนี่ยวรั้งตนเอง พินิจพิจารณาตนเอง และขัดเกลามารร้ายต่างๆ ออกจากตัวเองไปให้หมดสิ้น ด้วยจิตใจใสสะอาด มีความปิติ มีความสงบนิ่ง และมีความถาวร ซึ่งจะมากน้อยแค่ไหนเราก็จะรู้ได้ ตระหนักได้ และมีประสบการณ์ได้ เมื่อเราได้บรรลุถึงเป้าหมายของการดำรงตนตามมรรค 8
ที่กล่าวมานี้ ก็เป็นความรู้ความเข้าใจอันน้อยนิดของผม คู่ขนานไปกับความเพียรพยายามทีละเล็กทีละน้อยที่จะปฏิบัติตามมรรค 8 เพื่อการหลุดพ้น ผมเองยังปรารถนาที่จะได้รับฟังคำชี้แจงและคำแนะนำจากผู้รู้ ผู้ปฏิบัติที่ก้าวหน้า ทั้งเพื่อจะได้ปรับปรุงตนเอง และในขณะเดียวกันก็จะได้ช่วยกันแบ่งปัน เพื่อเราจะได้เป็นมนุษย์ที่อยู่ด้วยกุศลกรรม และร่วมกันอยู่ด้วยกุศลกรรม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี