นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ประกาศจะเดินหน้าแก้มาตรา 112 แน่นอน
“ผมกังวลที่ สว.หลายคนออกมาแสดงจุดยืนไม่โหวตให้เป็นนายกฯซึ่งเท่าที่คุยหลายคนมีหลักและดุลพินิจในการโหวตเลือกตามบรรทัดฐานที่ สว.ที่ทำไว้ปี 2562 ว่า หากสภาล่าง ฝ่ายใดรวมกันได้ 251 เสียง ก็ไม่ต้องการฝืนมติของสภาล่าง เพราะเป็นมติที่มาจากประชาชน ดังนั้น จึงเชื่อว่า ภาพรวม 250 สว.จะเป็นไปตามหลักการ และขอให้ สว.ยึดหลักการดังกล่าว
ให้มั่นมากกว่ามองเรื่องตัวบุคคลว่าจะโหวตให้หรือไม่”
เมื่อถามถึงจำนวนเสียง สว.ที่จะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ
นายพิธา กล่าวว่า “เพียงพอที่จะทำให้ผมเป็นนายกฯ”
สื่อมวลชนถามต่อว่า เวลาโทรศัพท์ไปยัง สว. พูดคุยเพื่อขอเสียงเป็นนายกฯ หรือชี้แจงการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
นายพิธา กล่าวว่า หลายเรื่องที่เป็นข้อกังวลใจของ สว. แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของหลักการ ให้เป็นไปตามปี 2562 ที่เมื่อสภาล่างรวมเสียงได้มาก ไม่ควรมีใครมาขืน
“การแก้ไขมาตราดังกล่าว เป็นสิ่งที่พรรคได้พูดก่อนการเลือกตั้งที่ชัดเจนว่าจะเป็นการทางออกให้กับสังคมไทย เพราะช่วงที่ผ่านมามีการใช้มาตราดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมืองรังแกคนเห็นต่าง จึงไม่เป็นผลดีกับสถาบันใดเลย อย่างไรก็ดี เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะไม่เป็นเหตุให้เส้นทางการจัดตั้งรัฐบาลสะดุด”
นักข่าวถามย้ำว่า หากเรื่องการแก้ไข มาตรา 112 ทำให้ไปไม่ถึงนายกฯ
วางแผนไว้อย่างไร
นายพิธา กล่าวว่า หากมีเป็นเรื่องน่ากังวลใจ เพราะถือเป็นการนำเสียงของประชาชน ปะทะกับสถาบันโดยตรง ไม่เหมาะสมและอันตราย ดังนั้น อย่านำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างอีกเลย
1. เสียงประชาชนที่สนับสนุนการแก้มาตรา 112 คือเสียงข้างน้อยในสังคม
แม้แต่ในพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่เอาด้วย จึงไม่สามารถใส่ในเอ็มโอยู
แม้แต่คนที่เลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุน แต่คนจำนวนมากที่เลือกเพราะนโยบายหาเสียงเบี้ยคนชรา 3 พันบาท ค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาท ฯลฯ
ทำไมถึงดึงดันจะแก้มาตรา 112 เสียให้ได้ ไม่เคารพเสียงข้างมากของประชาชน?
2. ร่างแก้ไขมาตรา 112 สส. พรรคก้าวไกลเคยเสนอตั้งแต่สมัยที่แล้ว แต่ไม่ได้รับการบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
เพราะประธานสภาผู้แทนราษฎรยุคที่ผ่านมา วินิจฉัยว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 จึงไม่บรรจุเข้าระเบียบวาระ
สำนักการประชุมให้ความเห็นทางกฎหมาย สรุปได้ว่า…
“ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เนื่องจากมีบทยกเว้นความผิดกับบทยกเว้นโทษ กรณีถ้าเป็นการติชม แสดงความเห็น หรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามมิให้พิสูจน์ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ส่วนพระองค์ และการพิสูจน์ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน…”
“บทบัญญัติยกเว้นความรับผิดกับการยกเว้นโทษดังกล่าวนี้ เห็นว่าน่าจะขัดกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ…”
3. มาคราวนี้ หัวหน้าพรรคก้าวไกลประกาศหนักกว่าเก่า
นายพิธาประกาศบนเวทีหาเสียง จุดยืนให้ยกเลิกมาตรา 112 แต่จะขอแก้ไขก่อน หากแก้ไม่สำเร็จก็จะยกเลิก และถ้ามีกลุ่มใดเสนอยกเลิกเข้ามาก็จะสนับสนุน
แนวทางแก้ไขมาตรา 112 ลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ลง “ย้ายหมวด - ลดบทลงโทษ - ยอมความได้ - เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด - ให้สำนักพระราชวังฟ้องแทน”
4. สว.คำนูณ สิทธิสมาน ให้ความเห็นไว้น่าสนใจ ระบุว่า
“...ตามหลักการที่พรรคก้าวไกลนำเสนอในการหาเสียง ปรากฏทั้งข้อความและแผ่นภาพ ประกอบกับร่างกฎหมายที่เคยยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2562 แต่ไม่ได้รับการบรรจุ จะพบว่าไม่ใช่การแก้ไขกฎหมายทั่วไปมาตราหนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะกระทบทั้งระบอบและระบบ
เฉพาะเรื่องหลักคือการคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ ก็ยกเลิก 1 มาตราเพิ่มเติม 4 มาตรา
ยกเลิกมาตรา 112
เพิ่มมาตรา 135/5 - 135/9
สรุปโดยภาพรวมได้ว่าเป็นการลดระดับการคุ้มครองสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์ลงมาเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 90 ปี นับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2475 จากการคุ้มครองเด็ดขาด เป็นการคุ้มครองอย่างมีเงื่อนไข มีทั้งบทยกเว้นความผิด บทยกเว้นโทษ และบทจำกัดผู้ร้องทุกข์
ซึ่งอาจขัดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 อันเป็นบทหลักมาตราแรกของหมวดพระมหากษัตริย์
หรือเสมือนเป็นการแก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ทางประตูหลัง
นี่คือประเด็นหลักที่จะกระทบระบอบ
นอกจากนั้น ยังมีประเด็นแวดล้อมตามมาเป็นการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตราอื่นที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและดูหมิ่นบุคคลประเภทอื่นตามมาอีก 2 กลุ่ม 11 มาตราด้วยกัน
ยกเลิก 2 เพิ่มเติม 4 แก้ไขเพิ่มเติม 5
ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่เหลือแค่โทษปรับ
ดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี เหลือแค่โทษปรับ
ขัดขวางการพิจารณาคดีหรือพิพากษาของศาล เหลือแค่โทษปรับ
หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท
หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน
1 หมื่นบาท
ฯลฯ
เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการคุ้มครองบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยเฉพาะศาลหรือผู้พิพากษาขณะพิจารณาหรือพิพากษาคดี รวมทั้งบุคคลธรรมดา โดยเป็นการลดระดับการคุ้มครองบุคคลทุกประเภทลงจากเดิมด้วยการกำหนดโทษใหม่ที่ต่ำลงมาก ส่วนใหญ่จะเหลือแค่โทษปรับ ยิ่งถ้าในอนาคตนำระบบการคิดโทษปรับตามฐานะทางเศรษฐกิจ (Day-fine) มาใช้ในระบบกฎหมายไทย ผู้กระทำความผิดทีีมีรายได้นัอยหรือไม่มีรายได้จะยิ่งมีข้อต่อสู้ให้ได้รับโทษน้อยลงไปอีก
สังคมไทยจะไม่เหมือนเดิม
พรรคก้าวไกลจัดร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 อยู่ในกลุ่มคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
แน่ล่ะว่าด้านหนึ่ง สิทธิเสรีภาพของคนที่วิพากษ์วิจารณ์บุคคลทุกระดับได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น
แต่ในด้านตรงข้าม สิทธิเสรีภาพบุคคลทุกระดับที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายรวมทั้งบุคคลธรรมดาที่จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่เป็นธรรมกลับได้รับการคุ้มครองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จึงมีผู้เห็นต่างในหลักการ คัดค้าน และจะเป็นประเด็นสำคัญในแต่ละเหตุการณ์ทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่นี้”
5. สว.ที่สำนึกในหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มีความชอบธรรมที่จะไม่เห็นชอบให้นายพิธาเป็นนายกฯ
นอกจากนายพิธาประกาศเดินหน้าแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 (ลดการคุ้มครองสถาบัน) และผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดมาตรา 112
นายพิธา และสส.พรรคก้าวไกล ยังมีพฤติกรรมเกื้อหนุนช่วยเหลือผู้ที่ถูกดำเนินคดี 112 ม็อบสามนิ้วที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน
สว.ต้องทำหน้าที่ตามคำปฏิญาณตนต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในที่ประชุมวุฒิสภา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี