อาณาจักรสุโขทัยถือเป็นอาณาจักรแรกของสยามประเทศหรือชาติไทยในปัจจุบันนี้ โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก และก็เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาเป็นระยะเวลามากกว่า ๑๒๐ ปีก่อนที่จะเริ่มเสื่อมอำนาจลง และกลายเป็นเมืองลูกหลวงขออาณาจักรอยุธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทองคือพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรอยุธยา โดยก่อนหน้าที่พระองค์จะสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในปีพุทธศักราช ๑๘๙๓ และขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรที่มีอายุยาวนานกว่า ๔๑๗ ปีนั้น พระองค์ทรงครองเมืองอู่ทอง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยเมืองอู่ทองนี้เป็นราชธานีอีกแห่งหนึ่งของชาวไทย เป็นเมืองคู่ขนานกับกรุงสุโขทัย และต่างก็เป็นอิสระจากขอม ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่กรุงกัมพูชา
พระเจ้าอู่ทองทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เชียงราย มีพระมเหสีเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์รามัญ มีพระโอรส ๑ พระองค์ คือ พระราเมศวร ซึ่งได้รับการสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ครองเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองลูกหลวงของเมืองอู่ทองในสมัยนั้น
พระมเหสีของพระเจ้าอู่ทองมีพระเชษฐาพระองค์หนึ่งคือขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระมาตุลาของสมเด็จพระราเมศวร ซึ่งขุนหลวงพะงั่วนั้นต่อมาภายหลังได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราเมศวรซึ่งได้ขึ้นครองราชย์หลังจากพระเจ้าอู่ทองสวรรคต แต่เป็นการครองราชย์เป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
เมื่อเมืองอู่ทองเกิดทุพภิกขภัย แห้งแล้งกันดาร ข้าวยากหมากแพง เกิดโรคระบาดไปทุกชุมชน ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง พระเจ้าอู่ทองจึงทรงอพยพพลเมืองที่เหลือออกจากพื้นที่เพื่อหนีภัย โดยมุ่งหน้าไปยังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เพื่อสร้างราชธานีใหม่ที่ตำบลหนองโสน ในแขวงอโยธยา ซึ่งปัจจุบันคือ บริเวณบึงพระราม โดยได้ทำพิธีตั้งเสาหลักเมือง เมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๙๓ ขณะเมื่อพระองค์มีพระชนมพรรษาได้ ๓๖ พรรษา
กรุงศรีอยุธยาที่พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างขึ้นนั้นได้รับการขนานนามว่า กรุงเทพบวรทวาราวดีศรีอยุธยาโดยคำว่ากรุงเทพนั้นหมายถึงราชธานี ส่วนคำว่าทวาราวดีนั้นอธิบายว่ามีแม่น้ำล้อมรอบ เนื่องจากที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาถูกล้อมรอบโดยแม่น้ำ โดยทิศเหนือคือแม่น้ำลพบุรี ซึ่งเดิมเป็นลำน้ำใหญ่ ทางด้านทิศตะวันออกคือแม่น้ำสัก ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำป่าสัก ส่วนทางด้านทิศใต้และตะวันตกคือแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไหลลงมาทางหัวแหลม ผ่านบริเวณวัดพนัญเชิงในปัจจุบันนี้ ส่วนคำว่าศรีอยุธยา เอามาจากชื่อเมืองอโยธยาดั้งเดิมนั่นเอง โดยการสร้างเมืองในเวลานั้นกำแพงเมืองใช้เพียงหลักไม้เพนียดปักบนเชิงเทินดิน เพิ่งจะมาก่อกำแพงด้วยอิฐปูนในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
เมื่อพระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว จึงได้สร้างพระที่นั่งต่างๆ เป็นปราสาทไม้แบบวิหารยอดทั้งหมด อันได้แก่ พระที่นั่งไพฑูรย์มหาปราสาท พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท และพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ และพระองค์ยังทรงสร้างวัดอีกหลายวัด วัดแรกคือวัดพุทไธศวรรย์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงสภาพแห่งความสวยงามปรากฏให้เห็นอย่างมาก ทั้งองค์พระเจดีย์และวิหารพระนอน วัดต่อมาคือวัดป่าแก้ว หรืออีกชื่อหนึ่งคือวัดใหญ่ชัยมงคล อันเป็นวัดที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ใช้เป็นสถานที่เฉลิมฉลองและบูรณะพระเจดีย์ ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงศรีอยุธยา หลังจากที่ได้กระทำยุทธหัตถีและมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชมังกะยอชวาราชบุตรของพระเจ้านันทบุเรงแห่งพม่าด้วย
เมื่อพระองค์จัดวางรูปแบบการปกครองของกรุงศรีอยุธยาเข้าที่ดีแล้ว อันเป็นศูนย์กลางการปกครองในลักษณะของเมืองหลวง จึงทรงให้ลดฐานะของเมืองอู่ทองเป็นเมืองลูกหลวงชั้นโท และให้ขุนหลวงพะงั่วปกครองเมืองอู่ทองต่อไป
เมื่อครั้งที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทองทรงปกครองกรุงศรีอยุธยานั้น มีเมืองประเทศราชที่ขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยาถึง ๑๖ เมือง ได้แก่ เมืองสระหลวงสองแควหรือพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองศรีสัชนาลัยหรือสวรรคโลก เมืองพิจิตร เมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์ ซึ่งเมืองดังกล่าวทั้ง ๗ เมือง ยังอยู่ในเขตพระราชอำนาจของพระมหาธรรมราชาลิไท แต่ก็ได้รับการถวายเป็นบรรณาการของกรุงศรีอยุธยาแล้ว เมืองอื่นๆ คือเมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลำเลิง เมืองจันทบูร เมืองนครศรีธรรมราช เมืองตะนาวศรีเมืองทวาย เมืองมะละกา และอาจจะรวมหงสาวดีด้วย
เมื่อสมเด็จพระเจ้าอู่ทองครองราชย์ได้เพียง ๒ ปี ก็เกิดสงครามกับเมืองขอม โดยกษัตริย์ของขอมในเวลานั้นคือสมเด็จพระบรมลำพงศ์ราชา ไม่รักษาไมตรีที่มีกันมาแต่ก่อน โดยพระองค์ได้ให้พระราเมศวรซึ่งขณะนั้นยังเยาว์วัย ไม่ชำนาญในการศึกสงครามออกไปรบ จึงเพลี่ยงพล้ำแตกทัพกลับมา จึงต้องเชิญขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ขึ้นไปตีพระนครหลวงของขอม และสามารถเอาชนะได้ กวาดต้อนพลเมืองชาวขอมมาเป็นเชลยจำนวนมาก และทำให้ขอมเป็นประเทศราชขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา
ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอู่ทองกรุงศรีอยุธยาได้มีการค้าขายกับเมืองจีน รวมทั้งเมืองแขก เมืองจาม เมืองชวา ตลอดจนอินเดีย เปอร์เซียและลังกา ซึ่งสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
ในปลายสมัยของพระองค์นั้น พระเจ้าหงส์บู๊ อันเป็นต้นราชวงศ์หมิงของจีน ทราบว่ากรุงศรีอยุธยาตั้งตัวเป็นอิสรภาพ ก็แต่งตั้งให้ หลุยจงจุ่น เป็นราชทูตเข้ามาเจริญพระราชไมตรีถึงกรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าอู่ทองก็ได้แต่งตั้งราชทูตออกไปเจริญพระราชไมตรีถึงเมืองจีน โดยเดินทางกลับไปพร้อมกับราชทูตจีนในครั้งนั้นด้วย
จะเห็นได้ว่าสัมพันธภาพไทย-จีนมีมาเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 600 ปี ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาประเทศจีนเคยมีสงครามกับประเทศพม่า ประเทศเวียดนาม แต่กับประเทศไทยไม่เคยมีปัญหาระหว่างกัน
และที่สำคัญยิ่งคือสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ได้เสด็จฯเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างต่อเนื่อง โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในทุกมณฑล และพระองค์ยังทรงพระปรีชาสามารถทั้งในการพูด อ่าน เขียนภาษาจีนอย่างแตกฉาน และทรงได้รับการถวายรางวัลเทิดพระเกียรติ “๑๐ มิตรที่ดีที่สุดในโลกของชาวจีน” จากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยชาวจีนมากกว่า ๑๕ ล้านคน เป็นผู้โหวตลงคะแนนให้ ในฐานะบุคคลที่ชาวจีนยอมรับและยกย่องอย่างที่สุด เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๒
ก็ได้แต่หวังว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ ต้องให้ความสำคัญเรื่องสัมพันธภาพอันดีงาม แน่นแฟ้นและยืนยาวที่สุดระหว่างไทย-จีนไว้ให้ได้ อย่าได้เชื่อว่าจะมีประเทศอื่นใด โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจบางประเทศ ที่จะมีความจริงใจในการคบหาหรือสร้างสัมพันธ์กับประเทศไทย ด้วยการจะให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในด้านต่างๆ อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีความคิดแอบแฝงที่จะรุกรานและให้ประเทศไทยยอมรับนโยบายของประเทศนั้นๆ ในการที่จะแผ่อิทธิพลมาสู่ภูมิภาคนี้ของโลกเป็นอันขาด
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี