ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลประการสำคัญประการหนึ่ง เกิดจากพรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถแบ่งสรรปันส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีได้ลงตัว เพราะสส. แต่ละรายแต่ละมุ้ง แต่ละขั้ว ล้วนต้องการได้ครอบครองเก้าอี้แห่งอำนาจด้วยกันทุกราย เนื่องจากการได้เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆ ไปครอง ก็หมายถึงผลประโยชน์มหาศาลที่จะหลั่งไหลเข้ากระเป๋าของผู้ดำรงตำแหน่งอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ยังมิต้องมองไปถึงการแบ่งสรรเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล แต่แค่เพียงการแบ่งสรรเก้าอี้รัฐมนตรีสำคัญภายในพรรคเดียวกัน ก็นับว่ายากเย็นเข็ญใจ เพราะภายในพรรคเดียวกันก็ใช่ว่าจะเป็นเนื้อเดียวกันไปเสียทั้งหมด เพราะยังมีขั้ว มีมุ้งมีฝัก มีฝ่าย แล้วแต่ละขั้วแต่ละฝ่ายก็ต้องการได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่มีเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล 

เมื่อเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหลักๆ ที่มีงบประมาณมากๆ มีจำกัด แต่มีผู้หมายปองจะได้นั่งเก้าอี้สำคัญตัวนั้นหลายคน ก็จึงจำเป็นต้องแย่งกัน แล้วการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่มีเงินมากๆ ก็ไม่สามารถประนีประนอมกันได้โดยง่าย เพราะมันหมายถึงเงินและอำนาจที่ผู้ครองเก้าอี้จะได้ไปเป็นสมบัติส่วนตัว

วันนี้ ฉากการเมืองไทยได้ปรากฏชัดขึ้นเป็นลำดับว่าพรรคเพื่อไทยของทักษิณ ชินวัตร มีโอกาสจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสูงที่สุด ซึ่งก็หมายความว่าทักษิณจะมีอำนาจเกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับคนที่ตนเองเห็นสมควร เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจกับข่าวลือที่จงใจปล่อยว่าทักษิณจะกลับเมืองไทย เพราะการกลับไทยหมายถึงความสามารถจัดการกับการแบ่งสรรอำนาจของรัฐบาลผสมได้อย่างสะดวกโยธินมากที่สุด 

แต่ปัญหาเรื่องทักษิณจะกลับไทยยังไม่สะดวกดายมากนัก เพราะกลับมาก็ต้องติดคุกก่อนเป็นอันดับแรก ยกเว้นกลับมาด้วยสภาพคนไร้สมรรถภาพ ไม่สามารถนั่ง ยืน หรือเดินได้ด้วยตนเองเท่านั้น ที่อาจใช้เป็นข้ออ้างไม่ต้องเข้าคุกได้ แต่ถึงอย่างไร ก็ยังต้องอยู่ในสภาพของนักโทษอยู่วันยังค่ำ แม้จะได้รับความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษสุดๆ โดยไม่ต้องเข้าไปนอนในคุกก็ตาม

เมื่อทักษิณยังไม่ยอมกลับมาติดคุกในเมืองไทยทักษิณก็จึงยังต้องเร่ไปร่อนมา โดยเลือกพื้นที่ให้ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด เพื่อให้ลิ่วล้อ บริวาร รวมถึงคนที่จำเป็นต้องไปกราบกรานของความช่วยเหลือต่างๆ จากทักษิณให้ตนเองบรรลุเป้าประสงค์ทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี และรวมถึงเรื่องขอให้ได้เข้าร่วมรัฐบาลผสม

ตามกระแสข่าวระบุชัดว่า ล่าสุดทักษิณหนีคดีอาญาอยู่ที่ฮ่องกง (โรงแรมเพนนินซูลา) ดังนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจกับการที่ลิ่วล้อบริวารทักษิณต่างบินไปหาทักษิณกันทุกวี่ทุกวัน บางรายบินไปพบทักษิณแล้วก็กลับมาจงใจปล่อยข่าวว่าตนเองไปเจอทักษิณที่ฮ่องกง เพื่อให้คนที่เห็นภาพตีความว่าตนได้ไปเจรจาต่อรองเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีกับทักษิณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หนึ่งในบรรดานักการเมืองที่เคยบอกว่า ไม่ขอเป็นฝ่ายค้านเด็ดขาดในชีวิตการเมืองช่วงที่เหลืออยู่นี้ ได้แก่สมศักดิ์ เทพสุทิน และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ น่าจะจงใจเปิดภาพให้สาธารณชนเห็นชัดๆ ว่าตนเองได้บินไปร่วมงานวันเกิดครั้งล่าสุด (ย้ำว่าครั้งล่าสุด ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย) ของทักษิณที่ฮ่องกง แต่นอกจากจะจงใจปล่อยภาพการไปร่วมงานวันเกิดทักษิณแล้ว ก็ยังมีข่าวว่าทั้งสุริยะและสมศักดิ์ต่างก็พยายาม shopping สส. ให้เข้ามาอยู่ในก๊วนของตนเองให้ได้จำนวนมากที่สุดอีกด้วย เพราะการมี สส. อยู่ในก๊วนเป็นจำนวนมาก ก็ย่อมหมายถึงการได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่มีเงินหนาๆ ได้มากยิ่งขึ้น

คอข่าวการเมืองบอกว่าสมศักดิ์อยากได้เก้าอี้มหาดไทยมากเหลือเกิน ส่วนสุริยะก็อยากได้เก้าอี้กระทรวงพลังงานเป็นที่สุด แต่จะได้หรือไม่ได้ ก็ต้องประลองกำลังเงินและกำลังสมุนในก๊วนให้รู้แจ้งเห็นจริงกันไป งานนี้ใครกระเป๋าหนักกว่า และใครมีลิ่วล้อมากกว่าก็น่าจะได้เก้าอี้กระทรวงใหญ่ๆ เงินหนาๆ ไปครอง ส่วนเรื่องฝีมือในการบริหารงานกระทรวงไม่ต้องใส่ใจ เพราะรัฐมนตรีมีหน้าที่สำคัญคือดูแลและจัดการเงินงบประมาณก้อนใหญ่ของกระทรวง ส่วนจัดการแล้วเงินจะไหลไปที่ไหน เรื่องนี้คอการเมืองรู้ดีไม่ต่างไปจากตัวของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง

นี่พูดแค่เฉพาะการแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีภายในพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวเท่านั้น ยังเห็นถึงความโกลาหลบังเกิดขึ้นเป็นระยะๆ แล้วหากต้องแบ่งต้องปันเก้าอี้รัฐมนตรีสำคัญๆ ให้กับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ อาทิ ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และพรรคเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายพรรค ก็จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเกิดความโกลาหลสักเพียงใด 

จึงย้ำชัดๆ ว่ามูลเหตุที่ตั้งรัฐบาลยังไม่เสร็จไม่สิ้นนั้นมิได้เกิดมาจากอุดมการณ์การเมืองไม่ตรงกันหรอก แต่มันเกิดมาจากแบ่งเก้าอี้แห่งอำนาจไม่ลงตัว