ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีคณะองคมนตรีจำนวนไม่เกิน 18 คน ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์โดยการแต่งตั้งและการให้พ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดยองคมนตรีทั้งหมดนั้นจะมีประธานองคมนตรีเป็นประธาน
ตำแหน่งองคมนตรีจึงเป็นตำแหน่งสำคัญในระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย และถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติยศยิ่ง มีความสำคัญยิ่ง มีลำดับชั้นความสำคัญเหนือกว่าประธานสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาล และประธานองค์กรอิสระต่างๆ
นับตั้งแต่มีองคมนตรีชุดแรกเป็นต้นมาถึงปัจจุบันนี้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีตามพระราชอัธยาศัย แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าทรงเลือกตามความเหมาะสมของสถานการณ์บ้านเมืองแต่ละช่วง และทรงคัดเลือกองคมนตรีด้วยความรอบคอบเพื่อหวังประโยชน์แห่งราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะราชการของพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นทั้งประมุข เป็นทั้งจอมทัพ และทรงเป็นศูนย์รวมของอำนาจอธิปไตยของปวงชนและเกียรติยศศักดิ์ศรีทั้งปวงของประเทศชาติด้วย
แต่ละยุคแต่ละสมัยคณะองคมนตรีโดยรวมหรือองคมนตรีแต่ละท่านก็ได้เป็นที่เคารพนับถือของประชาชน เพราะได้ปฏิบัติราชการถวายงานเป็นคุณูประโยชน์คุณูปการอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง และเป็นกำลังสำคัญของพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งหลายที่ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและราษฎรทั้งปวง
โดยปกติองค์ประกอบของคณะองคมนตรีนั้นไม่ได้มีสัดส่วนหรือองค์ประกอบที่แน่นอนว่าต้องมีผู้มีประสบการณ์ทางด้านไหนบ้าง มีจำนวนแต่ละด้านเท่าใด เพราะถือว่าเป็นพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงพิจารณาและคัดเลือกเพื่อประโยชน์ของราชการแผ่นดิน ซึ่งถือว่าเป็นความสำคัญขั้นสูงสุด
ในปัจจุบันนี้คณะองคมนตรีประกอบขึ้นจากคณะบุคคลที่สืบทอดมาจากคณะองคมนตรีในรัชกาลก่อนและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีในรัชกาลปัจจุบันด้วยจำนวนหนึ่ง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในรัชกาลปัจจุบันด้วยพระองค์เองอีกจำนวนหนึ่ง
จึงเป็นคณะองคมนตรีที่สอดคล้องและเหมาะสมกับระยะผ่านจากยุคสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน และบัดนี้มีตำแหน่งองคมนตรีคนที่ 18 ยังว่างอยู่ ดังนั้นจึงมีข่าวคราวออกมาเนืองๆ ว่าบุคคลสำคัญผู้นั้นผู้นี้จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี
และในปัจจุบันนี้ก็มีข่าวปรากฏทางโซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลายว่านายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภาและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีคนที่ 18
ความจริงเรื่องนี้หาควรที่ชาวโซเชียลมีเดียหรือสื่อมวลชนใดๆ จะก้าวล่วงนำมาเสนอเป็นข่าวต่อสาธารณะ เพราะต้องถือว่ายังเป็นการในพระราชอำนาจที่จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย แต่บ้านเมืองทุกวันนี้วิปลาสนัก เรื่องอันไม่ควรกล่าวก็มีผู้นำมากล่าวอย่างแพร่หลาย ก็ได้แต่เปรยให้ได้รับรู้รับทราบกันว่าเรื่องนี้เป็นการในพระราชอำนาจ ไม่บังควรที่จะนำมาเสนอเป็นข่าวต่อสาธารณะเลย
ตำแหน่งองคมนตรีเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาในราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ เป็นตำแหน่งที่มีผลต่อความเป็นไปในบ้านเมือง ต่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติและราษฎรทั้งปวง ตลอดจนความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วย
ดังนั้นแม้ไม่มีการกล่าวถึงหลักการและเหตุผลในการพิจารณาคัดเลือก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหลักเกณฑ์เสียทีเดียว บ้านเมืองของเราตั้งมานานแล้ว ดังนั้น ย่อมมีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ ซึ่งเป็นการภายในของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่อาจนำมากล่าวในที่นี้
แต่ก็อาจยกแบบอย่างแต่โบราณในบางประเทศให้เห็นเป็นแนวทางได้ และที่ถือปฏิบัติกันโดยทั่วไปในประเทศทั้งหลายก็คือบทสนทนาระหว่างเล่าปี่กับสุมาเต๊กโช ซึ่งได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้โดยตรงและชัดเจนที่สุด นั่นคือว่าด้วยเรื่องขององค์คุณผู้ที่จะเป็นที่ปรึกษาประเภทกุนซือของแผ่นดิน
ในครั้งนั้นเล่าปี่หนีภัยดั้นด้นไปจนถึงบ้านของสุมาเต๊กโชจอมปราชญ์แห่งลัทธิเต๋า ในที่สุดก็ได้พบปะสนทนากัน สุมาเต๊กโชเห็นท่วงท่าเล่าปี่แล้วก็ถามว่าท่านหนีภัยมาหรือ เล่าปี่ก็บอกว่าได้ท่องเที่ยวหลงทางมาจนมาถึงที่นี่ สุมาเต๊กโชก็ต่อว่าว่าท่านเป็นพระเจ้าอา ไม่สมควรจะกล่าวความอันไม่จริง ท่านหนีภัยมาเป็นแน่นอน เล่าปี่จึงจำต้องยอมรับว่าหนีภัยลอบสังหารข้ามแม่น้ำตันเขจนมาถึงสำนักของสุมาเต๊กโชนี้
หลังจากนั่งลงสนทนากันแล้ว สุมาเต๊กโชก็ถามว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม ไฉนจึงยากไร้ถึงปานนี้ เล่าปี่ก็ว่าเป็นเพราะบุญพาวาสนาน้อยจึงได้ยากสุมาเต๊กโชก็ว่าไม่ใช่เพราะบุญวาสนา แต่เพราะท่านไม่มีกุนซือที่คอยจัดผู้คนบุ๋นบู๊ให้สำแดงอานุภาพกอบกู้บ้านเมืองได้
เล่าปี่ก็เอ่ยชื่อบรรดาที่ปรึกษาหลายคน และฝ่ายทหาร ซึ่งมีทั้งกวนอู เตียวหุย จูล่ง เป็นสามทหารเสือสุมาเต๊กโชก็ว่าคนที่เอ่ยนามว่าเป็นที่ปรึกษานั้นแท้จริงเป็นแค่เสมียนธุรการ ไม่มีสติปัญญาที่จะกอบกู้บ้านเมืองได้ ส่วนกวนอู เตียวหุย จูล่ง แม้เป็นทหารเสือสู้รบกับข้าศึกนับหมื่นได้ แต่ไม่มีกุนซือคอยจัดวางใช้สอยจัดวางให้ทำการโดยถูกต้องสอดคล้องกัน
เล่าปี่จึงถามว่าที่ปรึกษานั้นเป็นคนอย่างไร สุมาเต๊กโชจึงว่าผู้เป็นที่ปรึกษาประเภทกุนซือนั้นคือผู้รู้วิชาทั้ง 4 และนิติทั้ง 3
วิชาทั้ง 4 คือวิชาพิชัยสงคราม ซึ่งเป็นวิชาว่าด้วยการทำศึกสงคราม จัดกระบวนรบ ทำการยุทธ์ การรบให้ประสบชัยชนะ วิชาดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาว่าด้วยฤดูกาล ความ หนาว ร้อน ลม ฝน พายุ เมฆ หมอกต่างๆ วิชาธรรมะ คือหลักธรรมชาติและหน้าที่แห่งธรรมชาติอันต้องเป็นไป วิชาหมากล้อมหรือหมากรุก ซึ่งเป็นวิชาว่าด้วยการฝึกกระบวนทัพ กระบวนคิด และการหยั่งการข้างหน้า ตลอดจนหยั่งความคิดของข้าศึก
ส่วนนิติทั้ง 3 นั้นก็คือโลกนิติ ซึ่งเป็นกฎของความเจริญและความเสื่อมที่เป็นไปในโลก ธรรมนิติและกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่มวลมนุษย์ทุกแห่งหนยึดถือปฏิบัติ อันใดถูก อันใดผิด อันใดควร อันใดไม่ควร และราชนิติคือบทกฎหมายและพระอัยการอันมีมาสำหรับแผ่นดิน เพื่อปกครองแผ่นดินและราษฎรให้อยู่ในระบบ ระเบียบ แบบแผน ร่มเย็นเป็นสุข
วิชาทั้ง 4 และนิติทั้ง 3 จึงเป็นองค์คุณสมบัติของกุนซือประเภทที่ปรึกษาสำหรับกอบกู้ฟื้นฟูสร้างสรรค์แผ่นดิน และบำรุงราษฎรให้เป็นสุข และเป็นข้อพิจารณาที่บรรดาฮ่องเต้ในราชวงศ์ต่างๆ ของจีนได้ถือปฏิบัติสืบเนื่องมาเป็นเวลาช้านานแล้ว และได้แพร่หลายเป็นหลักปฏิบัติทั่วไป แม้กระทั่งในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมากก็ได้ใช้หลักปฏิบัติดังกล่าวนี้ในการเฟ้นหาพิจารณาสรรหาคนประเภทกุนซือหรือที่ปรึกษา
อาจจะรู้สึกแปลกใจว่าในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้มีตำแหน่งที่ปรึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเมืองตั้งแต่ระดับที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีลงมาจนกระทั่งที่ปรึกษาอนุกรรมการหรือคณะทำงานที่ต่ำต้อยถอยอยู่ปลายแถวก็ยังมีตำแหน่งที่ปรึกษา
เป็นที่น่าสังเกตว่าที่ปรึกษาจำนวนมาก แทนที่จะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข กลับมีข่าวคราวในทางเสียหายอยู่เนืองๆ ไม่ว่าการตั้งขบวนคบคิดแสวงหาประโยชน์ หรือสร้างกลุ่มอิทธิพลหรือกระทำผิดกฎหมายด้วยประการต่างๆ หรือบ้างก็เป็นที่ปรึกษาประเภทรอรับค่าตอบแทนผลประโยชน์ โดยมิได้ปฏิบัติหน้าที่การงานให้สมกับภาระหน้าที่ที่กำหนดไว้
เพราะเหตุนี้บ้านเมืองของเราทุกวันนี้แม้จะมีที่ปรึกษามากมาย แต่เนื้อหาแท้จริงก็มิได้มีคนที่เป็นที่ปรึกษาประเภทกุนซือเหมือนดังที่สุมาเต๊กโชได้พรรณนาไว้นั้น ที่ปรึกษาประเภทที่เรารู้เห็นกันอยู่จึงมักจะเป็นที่ปรึกเสีย เสียเป็นส่วนใหญ่
คือนอกจากไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและราษฎรทั้งปวงแล้ว ยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านเมืองเสียอีก หรืออย่างเบาที่สุดก็เป็นที่ปรึกษาประเภทเสียข้าวสุกเปลืองข้าวสาร หาการงานที่เป็นประโยชน์ใดมิได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี