คุณแม่ 36 กะรัต “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, ดีเอ็นเอเข้มข้นนายใหญ่ -ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของคอกเดรัจฉานเพื่อไทย”นำขุนศึกกำมะลอทั้ง “ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ติ่งสำคัญของนายใหญ่, ประเสริฐจันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เดินเท้าจากตึกที่ทำการพรรคเพื่อไทยข้ามไปยังตึกไทยซัมมิทที่อยู่ติดกันอันเป็นที่ทำการ “พรรคก้าวไกล” ว่ากันว่าเพื่อไปขอขมากับกรณีรับไม้ต่อจัดตั้งรัฐบาลแทน ทว่า “พรรคก้าวไกล”ต้องไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน
ค่ำวันเดียวกัน “อุ๊งอิ๊ง”ไม่มีความกระจ่างชัดให้สื่อมวลชนที่ยกโขยงกันไปเพื่อทำหน้าที่บอกเล่าข้อเท็จจริงให้สังคมไทยได้รับรู้รับทราบ
ทราบพฤติกรรมของท่านผู้ทรงเกียรติที่โหวตเตอร์ทั้งหลายใช้ความรู้สึกมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริงกากบาทเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่กู้วิกฤตประเทศและวิกฤตเศรษฐกิจที่ถูกสาดใส่ร้ายรัฐบาลลุงตู่-พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา
“พิธาคิโอ-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้หลงหลอกตัวเองเสมอมาว่าคือนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย หลังพยายามนำคะแนนเสียง 14 ล้านเศษมาใส่ในชุดความคิดว่าด้วยคะแนนขนาดนี้ “พรรคก้าวไกล” ต้องเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล”ที่มีเสียงสนับสนุน 14 ล้านเสียงเศษต้องเป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ใครผู้ใดจักขัดขวางไม่ได้ตามความเชื่อของ “ด้อมส้ม”
นี่คือ “ชุดความคิดโสโครก” ที่ถูกปะติดปะต่อนำมาหลอกลวงตัวเอง และถูกนำไปหล่อหลอมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่คล้อยตาม
ทำให้เรานึกถึงคาถา 3 ข้อของ “หมอหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ได้ที่นั่งในสภามาเป็นลำดับสาม 71 ที่นั่ง ที่ว่า “อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้”
คาถา 3 ข้อที่เป็นเครื่องเตือนสตินักการเมืองไทยในการบริหารตนบริหารคน ทว่า เรามาเรียนรู้ 10 ประเด็นในการบริหารตนบริหารคนจากแนวคิดในเรื่อง สามก๊ก ที่หลายคนมักจะรู้จัก แต่ ขงเบ้งเล่าปี่ โจโฉ กวนอู จูล่ง ....และอีกหลายคน แต่สุดท้ายหลักการบริหารคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด กลับชื่อ “สุมาอี้” …
“สุมาอี้” ยึดมั่นว่าอะไรที่สู้ได้ก็สู้...สู้ไม่ได้ก็ตั้งรับ...ตั้งรับไม่ได้ก็ถอย...ถอยไม่ได้ก็อ่อนน้อม อ่อนน้อมไม่ได้ ก็ตายเสีย!?!?!
สุมาอี้เริ่มต้นจากการรับราชการตำแหน่งเล็กก่อนที่จะไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งเสนาธิการและแม่ทัพเขายกให้ “ขงเบ้ง”เป็นไอดอลในการยุทธ์ จึงอดทนที่จะเรียนรู้ทุกอย่างจาก “ขงเบ้ง” บางช่วงชีวิตตกต่ำทั้งที่บางช่วงชีวิตดูเหมือนจะรุ่งเรืองเป็นใหญ่เป็นโตเพราะเขาเก่งและซื่อสัตย์
สุมาอี้เกือบตายด้วยวงล้อมไฟของขงเบ้งครั้งหนึ่งแต่รอดมาได้ด้วยฝน ขณะที่ขงเบ้งก็เกือบตายเมื่อพลาดท่าที่จุดยุทธศาสตร์เกเต๋ง แต่อาศัยการเล่นพิณบนกำแพงเมืองแล้วเปิดประตูเมือง ทำให้สุมาอี้เหมือนจะแพ้ ครั้งแล้วครั้งเล่า สุมาอี้ยอมรับเสมอว่าขงเบ้งนั้นเก่งจริงๆ ขนาดตอนเป็นยังหลอกได้ แม้แต่ตอนตายยังหลอกอีก
แต่ท้ายที่สุด เมื่อถึงเวลาของเขา สุมาอี้สามารถกลับมาได้อีกครั้ง โดยสามารถโค่นอำนาจที่คุมกองทัพของตระกูลโจ ที่นำโดยโจซอง บุตรชายของอดีตแม่ทัพใหญ่โจจิ๋น หมดสิ้น และเป็นตระกูลสุมาอี้ที่ได้ขึ้นมาครองอำนาจแทน
“พิธาคิโอ-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และเหล่าด้อมส้มผู้มุ่งมั่นตะเกียกตะกายหาความสำเร็จด้วยวาทกรรมประดิษฐ์จึงควรตระหนักในการเรียนรู้เรื่อง “สุมาอี้ ใน สามก๊ก”
การปรับตัว เป็นสิ่งที่สำคัญ คนเก่งแต่งานแต่ขาดมุมมอง เรื่องคน สุดท้ายจะไปไม่รอดความอดทน ไม่ท้อ ฝึกฝน พัฒนาตัวเองไว้ตลอด เมื่อมีโอกาสสามารถทำงานได้ทันทีความสำเร็จ ของ คนคนหนึ่ง ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา และการเรียนรู้ประสบการณ์ และข้อสำคัญ คือความอดทนถ้า “พรรคก้าวไกล”คือ “Move Forward Party”จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ศึกษา “Fail Fast Forward”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี