วันที่ 22 ส.ค. 2566 รัฐสภาจะประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรเป็นนายกฯ โดยพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี
วันเดียวกัน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯที่หลบหนีโทษจำคุกคดีทุจริตประพฤติมิชอบ มีหมายจับติดตัวหลายคดี ประกาศว่าจะกลับไทย ลงสนามบินดอนเมือง
1. พลพรรคเพื่อไทยต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า นายเศรษฐาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน โดยมีเสียง สส.สนับสนุนกว่า 314 เสียง และจะมีเสียง สว.สนับสนุนอีก รวมแล้วจะเกิน 376 เสียง ม้วนเดียวจบ
นายเศรษฐาก็แสดงความมั่นใจเช่นกัน
2. ก่อนหน้านี้ ผมเคยเขียนถึง “จุดดับ พิธาพลาดเก้าอี้นายกฯ” ระบุว่า “สว.จะโหวตให้นายพิธาเป็นนายกฯ หรือไม่? จากการตรวจสอบล่าสุด มีรายงานว่า สว.ที่จะยกมือสนับสนุนนายพิธามีราวๆ 20 กว่าคนเท่านั้น (ต้องการเสียงสว.อย่างน้อย 64 คน) เหตุที่ สว.ส่วนใหญ่ไม่โหวตสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ เพราะเห็นว่าแนวคิด แนวทางแนวนโยบายการทำงานของนายพิธาหากได้เป็นนายกฯ จะสร้างผลกระทบ สร้างความเสียหาย สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง อาทิ ปักหมุดจะยกเลิกมาตรา 112 โดยจะเสนอแก้กฎหมายก่อน (แนวทางลดทอนการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์) ถ้าแก้ไม่สำเร็จ หรือมีการเสนอยกเลิก ม.112 เข้ามาสู่สภา ก็จะสนับสนุน…”
สุดท้าย ผลคะแนนจริง ปรากฏว่า นายพิธาได้คะแนนจาก สว. แค่ 13 เสียง
3. นายเศรษฐาจะซ้ำรอยนายพิธา หรือไม่?
ว่ากันตามจริง นายเศรษฐามีโอกาสมากกว่านายพิธาแน่นอน
ณ ขณะนี้ กล่าวได้ว่า โอกาสที่นายเศรษฐาจะได้เป็นนายกฯ มีมากกว่า 50%
ทำไมถึงยังไม่แน่นอนล่ะ?
4. นายเศรษฐาจะได้คะแนนถึง 376 หรือไม่?
4.1 คะแนนจาก สส.พรรคต่างๆ
ขณะนี้ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา รวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่พลังประชารัฐ ส่งสัญญาณเทเสียง สส.สนับสนุน ทำให้คะแนน สส.สนับสนุนจะอยู่ที่ 314 เสียง
แต่คะแนนเสียงส่วนนี้ ขึ้นอยู่กับว่า จะตกลงแนวทางการทำงานร่วมกันลงตัวหรือไม่ สัดส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีเรียบร้อยเป็นที่ยอมรับกันหรือไม่ ก่อนวันโหวตเลือกนายกฯถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เศรษฐาได้คะแนน สส.ไม่ต่ำกว่า 314 แน่นอน แต่ถ้าไม่ลงตัว ก็โบกมือลาเศรษฐา
เอาจริงๆ แค่พรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ งดออกเสียง จากพฤติกรรมของแกนนำเพื่อไทยบางคนที่โยกโย้ดึงเช็ง จะฮุบเก้าอี้กระทรวงสำคัญๆ ไว้หมด โดยเฉพาะที่อ้างว่ายกมือให้ก่อน ค่อยตกลงกระทรวงทีหลัง หรือที่ตั้งเงื่อนไขว่าห้ามพรรคเดิมดูแลกระทรวงเดิม นี่ก็จะทำเศรษฐาจบเห่แล้ว
4.2 คะแนนจาก สว.
การได้เสียง สส.จากพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าจะได้เสียง สว.ท่วมท้นเสมอไป
ขณะนี้ มี สว.ที่พร้อมยกมือให้เศรษฐา
แต่ สว.ส่วนใหญ่ที่เคยงดออกเสียงให้นายพิธา ยังคาใจกับแนวทางที่นายเศรษฐาในฐานะผู้นำรัฐบาลจะนำพาประเทศไปเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทุกหมวด (รวมหมวด 1 หมวด 2) เป็นวาระสำคัญวาระแรกในการประชุม ครม.เลย ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเปิดช่องให้กลุ่มการเมืองผู้ไม่หวังดีนำสถาบันพระมหากษัตริย์ ลากไปย่ำยี บูลลี่ สาดโคลน ดิสเครดิต ทั้งในประเด็นพระราชอำนาจ
พระราชสถานะ
ไม่ต่างกับที่นายพิธาประกาศว่าจะจัดวางพระราชอำนาจ พระราชสถานะ ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าเรื่องมาตรา 112
ยิ่งไปแนวทางเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ของคณะก้าวหน้า ยิ่งชัดเจนว่าตั้งใจบั่นเซาะสถาบันพระมหากษัตริย์ ร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องมาตรา 112
สว.ที่เคยติดใจนายพิธา ก็จะต้องติดใจประเด็นเดียวกัน (ร้ายแรงกว่า) กับกรณีนายเศรษฐาเป็นนายกฯ
เพราะหาก สว.ยกมือให้นายเศรษฐาเป็นนายกฯไปแล้ว เมื่อรัฐบาลเพื่อไทยทำงานไปสักพัก เกิดขัดแย้งกับพรรคร่วม ภท. พปชร. รทสช. ก็สามารถเขี่ยทิ้งได้หมด โดยพรรคเพื่อไทยก็ยังมีพรรคก้าวไกล เสมือนหนึ่งแบตเตอรี่สำรอง ไว้ช่วยขับเคลื่อนภารกิจเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับต่อไป
นี่เป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ หาก สว.ต้องการหลักประกันความมั่นใจ ก็ต้องซักถามวิสัยทัศน์และคำมั่นจากนายเศรษฐา ว่าที่ผู้นำรัฐบาล ในการประชุมรัฐสภาครั้งนี้เท่านั้น
หากนายเศรษฐาไม่ไปชี้แจงในรัฐสภาด้วยตนเอง ก็จะถูกมองว่าพยายามปกปิด ซ่อนเร้น หลบหนีการตรวจสอบ อย่างเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ โอกาสที่นายเศรษฐาจะได้เสียงจาก สว.เกิน 64 เสียง จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
5. ประเด็นคุณสมบัตินายกฯ รัฐธรรมนูญมาตรา 160 “ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” ?
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แฉวิธีการทำธุรกิจของนายเศรษฐา บาดลึก
ทั้งเรื่องการซื้อขายที่ดิน การหลบเลี่ยงภาษีการใช้นอมินี
แม้แสนสิริจะปฏิเสธทั้งหมด และนายชูวิทย์ก็ถูกขุดคุ้ยกลับเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เอกสารหลักฐานที่นายชูวิทย์แฉ ก็เป็นเอกสารหลักฐานจริงมีที่มาอ้างอิงชัดเจน ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหนักโดยสิ้นเชิง
ยิ่งกว่านั้น ล่าสุด ดูเหมือนนายเศรษฐาจะตกหลุมนายชูวิทย์ เพราะออกมาปฏิเสธเสียงแข็งด้วยตนเองแล้ว ทำนองว่าแม่บ้าน และ รปภ. โดยเฉพาะนายสมศักดิ์ นอมินีที่นายชูวิทย์พูดนั้น ไม่มีความเกี่ยวพันกับฝั่งผู้ซื้อคือแสนสิริเน้นย้ำจะต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างฝั่งผู้ซื้อกับฝั่งผู้ขาย
ล่าสุด มันช่างบังเอิญเหลือร้าย นายชูวิทย์เปิดข้อมูลหลักฐานระบุชัดเจนว่า นายสมศักดิ์คนเดียวกัน ยังมีชื่อเป็นกรรมการบริษัทที่เป็นเจ้าของที่ดินจดแจ้งภาระจำยอมถนนเชื่อมต่อสะพานแสนสำราญอันอื้อฉาว (ที่เคยเรียกเก็บค่าผ่านทาง 10 บาทสำหรับรถจักรยานยนต์ 20 บาทสำหรับรถยนต์) ในโครงการของแสนสิริ สมัยที่นายเศรษฐาเป็นผู้บริหารใหญ่ของแสนสิรินั่นเอง
ตอกย้ำข้อสงสัยว่า รปภ. สมศักดิ์ เป็นนอมินีของใคร? ของฝั่งผู้ซื้อหรือผู้ขายกันแน่?
ระหว่างนายชูวิทย์ กับนายเศรษฐา ใครกำลังโกหกหน้าตาย กันแน่?
นายชูวิทย์ได้ประกาศว่าจัดส่งข้อมูลหลักฐานทั้งหลายไปให้ สว.แล้ว และยังตั้งคำถามให้คิดต่อไปด้วยว่า สว. ยังจะกล้าเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ หรือไม่?
6. ประเด็นเรื่องสะพานสาธารณะแสนสิรินั้น เป็นประเด็นที่สะท้อน “ความจริงใจ” หรือ “จิงโจ้” ของนายเศรษฐา ได้เป็นอย่างดี สว.จำนวนมากยังติดใจเรื่องนี้
ผมได้ติดตามตรวจสอบและนำเสนอมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่สมัยทำรายการวิทยุ ทำรายการทีวี กระทั่งปัจจุบันที่สถานีท็อปนิวส์ จนกระทั่งยุติการเก็บค่าผ่านทางไปแล้วในขณะนี้ (แต่ยังมีการอุทธรณ์สู้คำสั่ง กทม.อยู่)
ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า สะพานแสนสำราญ เป็นสะพานข้ามคลองพระโขนง อยู่ในบริเวณโครงการของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ช่วยให้โครงการของแสนสิริมีมูลค่าที่ดินสูงขึ้น เพราะไม่เป็นที่ดินตาบอด เข้า-ออกได้สองทาง
แต่กลับมีการเก็บค่าผ่านทาง รถยนต์ 20 บาท จักรยานยนต์ 10 บาท ต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี ทั้งที่สะพานดังกล่าวยกให้เป็นสาธารณะ และถนนเชื่อมสะพานก็เป็นถนนภาระจำยอมตั้งแต่ต้น ต้องเปิดให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่มีการเก็บค่าผ่านทาง หรืออุปสรรคกีดขวาง
ในรายงาน EIA ของแสนสิริ ตั้งแต่ก่อนสร้างสะพานนั้น ระบุว่ามี “ถนนภาระจำยอม” อยู่ทั้งสองฝั่งสะพาน เชื่อมต่อออกไปสู่ถนนสาธารณะทั้งสองด้านอย่างไร โดยไม่มีการระบุว่าจะเก็บค่าผ่านทาง
เพราะฉะนั้น ใครจะไปเก็บค่าผ่านทาง หรือกีดขวางทำให้เสื่อมความสะดวกในการใช้ภาระจำยอมนั้น หาได้ไม่
ต่อมา กทม. ทำหนังสือแจ้งบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ทราบและทำการรื้อถอนการปิดกั้นและยกเลิกเก็บค่าผ่านทางดังกล่าว หลังจากนั้น ก็มีการดำเนินการตามคำสั่งกทม. แต่ก็ยังมีการอุทธรณ์คำสั่งด้วยจนถึงปัจจุบัน
คำถามต่อนายเศรษฐา คือ ตลอดเวลาที่บริหารและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของแสนสิรินั้น เหตุใดจึงปล่อยให้มีการจัดเก็บค่าผ่านทางจากผู้ใช้สะพานและถนนภาระจำยอม ไม่เป็นไปตามรายงาน EIA เข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง ละเมิดสิทธิของประชาชนทั่วไป ทั้งคนยากคนจน คนหาเช้ากินค่ำ ไม่นำพาต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด?
จนบัดนี้ ยังไม่มีการชี้แจงว่า เงินที่เก็บค่าผ่านทางไปเกือบ 10 ปีนั้น มีมูลค่าเท่าใด? จะนำกลับมาคืนแก่ประชาชนเมื่อไหร่ อย่างไร เพราะอาจถือเป็นเงินที่จัดเก็บไปโดยไม่มีอำนาจให้กระทำได้?
ทั้งหมดนี้ ไม่พบว่า นายเศรษฐาจะชี้แจงด้วยตนเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มาโป๊ะเอาพอดี เมื่อนายชูวิทย์ระบุว่า บริษัทที่เป็นเจ้าของถนนภาระจำยอมข้ามสะพานนั้น มีชื่อ รปภ.นอมินีเป็นกรรมการบริษัทอยู่ด้วย มิน่าเล่า เพราะอย่างนี้หรือไม่ ถึงปล่อยให้ชาวบ้านถูกรีดไถเก็บค่าผ่านทางมาเกือบ 10 ปี
คนแบบนี้หรือ ที่จะมาประกาศต่อสู้กับความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และมีความตั้งใจจะช่วยเหลือคนยากจนคนมีรายได้น้อยในสังคมอย่างจริงใจ?
คำถามสุดท้าย... เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2551 ทักษิณกลับมากราบแผ่นดิน ยุคนายกฯ นอมินีหุ่นเชิด
22 ส.ค. 2566 นี้ ทักษิณมั่นใจจะได้นายกฯ นอมินีหุ่นเชิด จะกลับมากราบแผ่นดิน แน่หรือ?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี