ในส่วนของประเทศไทยนั้น เราก็กำหนดให้มีการรับใช้ชาติโดยวิธีการเกณฑ์ทหาร โดยเกณฑ์เฉพาะพลเมืองชายหนุ่มวัยเยาว์ที่มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อให้มีทักษะในเรื่องการใช้อาวุธ และการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อเตรียมไว้เพื่อสนับสนุนการสู้รบ
เมื่อมีความจำเป็น ส่วนอีกวิธีการหนึ่งคือ การเข้ารับการฝึก ร.ด. (รักษาดินแดน) ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่เป็นเวลา 3 ปี เพราะถือว่ามีความรู้
ความสามารถ มีทักษะในระดับหนึ่งเกี่ยวกับการเป็นทหาร เพื่อเข้าร่วมในยามศึกสงคราม แต่มาบัดนี้ ก็ได้มีการเคลื่อนไหวในแวดวงการเมือง ในประเด็นการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร (ที่เป็นเรื่องบังคับ) ให้ไปสู่การสมัครเข้าเป็นทหาร เพื่อรับการอบรมด้วยความสมัครใจ
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า การโต้เถียง และการหาข้อยุติในเรื่องการเกณฑ์ทหารนั้นเป็นเรื่องส่วนหนึ่งของเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือ ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันทางเพศ จึงมีการขยายไปที่ประเด็นว่าคนหนุ่มคนสาว ควรจะมีสิทธิ์รับใช้ชาติกันทุกคนหรือไม่ซึ่งหมายรวมไปถึงบุคคลที่จัดอยู่ในกลุ่มของเพศที่ 3 ด้วย ซึ่งเรื่องการรับใช้ชาติจึงเป็นเรื่องที่น่าจะได้มาร่วมกันขบคิด อภิปรายถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้อย่างกว้างขวาง เพียงแค่จะมาโต้เถียงและหาข้อยุติว่าจะมีการเกณฑ์ทหารหรือไม่เท่านั้น
สำหรับผู้เขียนนั้นก็เห็นว่า ราชอาณาจักรไทยควรจะมีระบบการรับใช้ชาติ (National Service หรือ Serving the nation) ที่เปิดกว้างต่อ
คนหนุ่มคนสาว และกลุ่มคนเพศที่ 3 เพราะทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองตามหน้าที่ อีกทั้งก็จะไม่เป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างคนหนุ่มกับคนสาว และระหว่างคนหนุ่มคนสาวกับคนเพศที่ 3 เป็นการทั่วไป เพื่อเสริมสร้างความเสมอภาคทัดเทียม และการร่วมกันทำหน้าที่ (duty) ต่อบ้านเมือง
อย่างไรก็ดี การรับใช้ชาติที่ว่ามิได้จำกัดอยู่ที่การฝึกอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้น หากแต่ยังมีเรื่องการเข้ารับการฝึกอบรม เช่น ในเรื่องการกู้ภัยทั้งอุบัติเหตุ และรับมือภัยธรรมชาติ การเป็นผู้ช่วยทางด้านการแพทย์การพยาบาล ไปจนถึงการช่วยดูแลผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส นอกจากนั้นก็จะมีเรื่องกิจการทำนุบำรุง หรือแม้กระทั่งเป็นลูกมือในเรื่องโยธาธิการต่างๆ เช่น การขุดลอกท่อน้ำเสีย แม่น้ำลำคลอง รวมทั้งระบบชลประทาน ไปจนถึงเรื่องการทำความสะอาดสถานที่สาธารณะต่างๆ หรือแม้กระทั่งการช่วยฝึกสอนเยาวชนในเรื่องการเรียน การเล่น และการสันทนาการต่างๆ เป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ควรจะเป็นเรื่องการถูกเกณฑ์ (compulsory) หรือเป็นเรื่องอาสาสมัคร (voluntary) โดยเฉพาะ หากแต่ควรเป็นเรื่องการทำหน้าที่พลเมือง (civic responsibility or duty) ซึ่งเป็นการสะท้อนความผูกพันทางจิตใจต่อบ้านเมือง ส่งเสริมขวัญและกำลังใจที่จะได้มีโอกาสรับใช้บ้านเมือง โดยเมื่อคนหนุ่มคนสาวรวมทั้งกลุ่มเพศที่ 3 ได้มาอยู่และทำงานร่วมกัน ความคุ้นเคยและการรู้จักและการร่วมแรงร่วมใจกันก็จะก่อให้เกิดผลของความเห็นอกเห็นใจ การมีความถ้อยทีถ้อยอาศัย และการเคารพนับถือซึ่งกันและกัน ไปจนถึงการเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคี และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของความเป็นคนไทย
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า การตัดสินใจที่ใกล้จะเกิดขึ้น ในการยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร โดยเปลี่ยนไปสู่การสมัครใจนั้น ก็จะมีนัยของการเลือกปฏิบัติ และการแบ่งชนชั้นไปโดยปริยาย เพราะคงจะไม่ผิดนักที่จะเดาความและคาดการณ์ล่วงหน้าไปได้ว่า คนหนุ่มคนสาว และกลุ่มเพศที่ 3 ที่มาจากครอบครัวที่พอมีอันจะกิน ส่วนใหญ่ก็จะไม่ไปสมัครเข้าเป็นทหาร ในขณะที่ผู้ที่จะสมัครใจเข้าไปนั้น ก็มักจะมาจากครอบครัวระดับล่างเป็นหลัก
ฉะนั้นการที่จะยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และเอาเรื่องการสมัครใจเข้ามาทดแทน โดยไม่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำนี้ก็คงมิได้ เพราะหากละเลยแล้ว ฝ่ายการเมืองที่เป็นผู้ตัดสินใจด้วยอำนาจวาสนา ก็จะกลายเป็นผู้ที่นำความเหลื่อมล้ำเข้ามาในสังคมเพิ่มเติม และยังมีความเอนเอียงที่จะ
ช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนผู้ค่อนข้างมีอันจะกินด้วยกัน เสมือนว่าพวกเดียวกันก็ช่วยกัน ซึ่งก็จะไม่เป็นการดีต่อสังคม เราจึงต้องหันกลับมาคิดทบทวนกันเสียใหม่ทั้งหมดว่า การรับใช้ชาติดังกล่าวนั้นจะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ เสริมสร้างความเสมอภาคและความทัดเทียม และหล่อหลอมให้ผู้คนวัยหนุ่มสาวรวมทั้งเพศที่ 3 จะได้มีโอกาสที่จะได้ร่วมกันรับใช้ชาติ และร่วมกันหล่อหลอมตนเองให้เป็นพลเมืองของชาติบ้านเมือง
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี