คนเราเลือกเกิดไม่ได้
บางคนเลือกตอนเริ่มต้นชีวิตยังไม่ได้
แต่ทุกคนเลือกที่จะกระทำหรือไม่กระทำอะไร เพื่อกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองได้
เรื่องราวของ “รปภ.” ที่กำหนดชีวิตด้วยพากเพียรจนสำเร็จได้เป็น “อัยการ” ทนายแผ่นดิน เป็นเรื่องที่น่ายกย่องชื่นชมมาก
1. จาก รปภ.สู่อัยการ
เฟซบุ๊ก PR Ramkhamhaeng University ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของนายผดุงเกียรติ พรหมแก้ว อายุ 29 ปี อดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
สอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการ ตำแหน่งอัยการผู้ช่วย พ.ศ. 2565 (สนามใหญ่) ได้ลำดับที่ 47 กลุ่มที่ 1
เรียกว่า สอบผ่านตั้งแต่ครั้งแรก
นายผดุงเกียรติกล่าวว่า เริ่มต้นตั้งเป้าในการสอบเป็นอัยการ โดยสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในปี 2556 จบการศึกษาปี 2558 กระทั่งเรียนจบเนติบัณฑิต ปี 2560
ในระหว่างสอบเนติบัณฑิต ได้สมัครเข้าทำงานเป็น รปภ.ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง (เวรกลางคืน) ประจำคณะมนุษยศาสตร์
เพื่อเป็นรายได้เลี้ยงชีพและแบ่งเบาภาระครอบครัว พร้อมกับเป็นทุนในการศึกษาต่อ
แต่ต้องผ่านการอบรมหลักสูตร รปภ. ก่อน และมีกฎระเบียบที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
โดยขณะนั้นต้องทำงานควบคู่กับการสอบเนติบัณฑิตด้วย จึงต้องแบ่งเวลาทำงานและอ่านหนังสือเป็นสัดส่วน
ตอนกลางวันพักผ่อนและอ่านหนังสือ
ส่วนตอนกลางคืนเป็นเวลาทำงาน รปภ.
2. เป้าหมายแน่วแน่ มุ่งมั่น
นายผดุงเกียรติสอบเนติบัณฑิตได้ในปี 2560 และสอบใบอนุญาตว่าความในปี 2561 แล้วก็สอบได้นายร้อยตำรวจ ตำแหน่งพนักงานสอบสวน
แต่ตัดสินใจสละสิทธิ์ เพราะเป้าหมายคือการเป็นพนักงานอัยการ
จึงทำงานเป็น รปภ.ต่อ เพื่อเก็บเงินให้ได้จำนวนหนึ่ง
เมื่อมีทุนเพียงพอแล้ว จึงขอพักงาน รปภ. 3 เดือน ไปสมัครฝึกงานที่สำนักงานสุรพงศ์อัมพันศิริรัตน์ทนายความ
มีหน้าที่จัดทำเอกสารและช่วยว่าความ สะสมประสบการณ์การว่าความให้ครบ 20 คดี
จากนั้นกลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็น รปภ. ที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง
แต่ขณะฝึกงานยังไม่ครบ 20 คดี ซึ่งเกณฑ์การสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการ ตำแหน่งอัยการผู้ช่วย กำหนดว่าผู้สอบต้องผ่านการว่าความ 20 คดี และใบอนุญาตว่าความจะต้องมีอายุ 2 ปีขึ้นไป ทำให้มีเวลาเก็บคดีได้จนถึงปี 2563
นายผดุงเกียรติเล่าว่า ใช้เวลาในช่วงกลางวันไปประจำที่ศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อขอเป็นทนายความร่วม รับผิดชอบเรื่องการทำเอกสารและเป็นทนายว่าความในคดีนั้น เมื่อครบ 20 คดี จึงอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบอัยการ
กระทั่งการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการ ตำแหน่งอัยการผู้ช่วย พ.ศ. 2565 (สนามใหญ่) รุ่นที่ 64
นายผดุงเกียรติเข้าสอบเป็นครั้งแรก และสอบผ่านตั้งแต่ครั้งแรก ได้ลำดับที่ 47 กลุ่มที่ 1
“การสอบได้อัยการตั้งแต่ครั้งแรก คือ ผลลัพธ์ของความพยายามทุ่มเท
ด้วยศรัทธาในอาชีพอัยการ ว่าเป็นอาชีพที่มีความตรงไปตรงมา เป็นการเจรจาว่าความด้วยเหตุและผล ก็มีความใฝ่ฝันว่าอยากทำงานในตำแหน่งอัยการ
โดยจะดำรงอาชีพอย่างมีเกียรติ จึงตั้งเป้าหมายและพยายามตั้งแต่ตอนนั้น จนทำตามความสำเร็จได้
ขอบคุณ ม.รามคำแหง ที่ให้โอกาสทุกคนได้เรียนอย่างเท่าเทียม ขอบคุณคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ ที่มอบความรู้ด้านกฎหมาย ซึ่งถือเป็นตำรากฎหมายเล่มแรกในชีวิต ทำให้มีความรู้และเรียนจบภายใน 2 ปี อีกทั้งยังให้อาชีพเลี้ยงตน
โดยตลอดระยะการเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่มหาวิทยาลัยได้รับความรักและการช่วยเหลือจากอาจารย์ พนักงาน และเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างดีรวมทั้งสนับสนุนให้ทำตามเป้าหมาย ทั้งให้กำลังใจและให้คำแนะนำอย่างดีเสมอมา” นายผดุงเกียรติกล่าว
3. อ่านหนังสืออย่างไรให้สำเร็จ
นายผดุงเกียรติเปิดเผยถึงหลักการอ่านหนังสือเพื่อสอบกฎหมายตั้งแต่ปริญญาตรี บอกว่า จะใช้หนังสือหลักของวิชานั้นๆ เพียง 1 เล่ม
โดยการอ่านคร่าวๆ ในรอบแรกเพื่อให้ทราบเนื้อหาทั้งหมดก่อน
จะเริ่มไฮไลต์หัวข้อสำคัญในการอ่านครั้งที่ 2-3 พร้อมอ่านเนื้อหานั้นอย่างละเอียด จึงเริ่มเขียนหรือพิมพ์เนื้อหาสรุปลงในสมุดตามที่ตัวเองเข้าใจ
นอกจากนี้ ควรอ่านหนังสืออื่นเพิ่มเติม เช่น ตัวอย่างการพิจารณาคดีแปลกๆ ซึ่งจะมีเนื้อหาแตกต่างจากหนังสือเรียน ที่มีเกร็ดความรู้ดีๆ มีตัวอย่างการว่าความที่เป็นประโยชน์มาเสริมกับสรุปที่ได้จากหนังสือเรียน แล้วใช้สรุปล่าสุดนี้ในการอ่านเตรียมสอบและอ่านซ้ำอย่างน้อยวิชาละ 10 รอบ
“สำหรับการเดินไปสู่อาชีพอัยการ เป็นการเดินทางที่ยาวนาน ใช้ความอดทนสูง สิ่งสำคัญคือการวางเป้าหมายและวางแผนการเดินทางแต่ละขั้นจนถึงจุดหมาย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเดินบนเส้นทางเดียวกัน หวังว่าจะประสบความสำเร็จ ได้ใช้ความรู้ความสามารถทำหน้าที่อัยการอย่างภาคภูมิใจ” นายผดุงเกียรติกล่าว
4. จากเรื่องราวข้างต้น ได้สัมผัสถึงความตั้งใจ พากเพียร มุ่งมั่น
เป็นคุณสมบัติอันหาได้ยากในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยในสมัยนี้
ซึ่งมักนิยมชมชอบ และเสพติดอะไรที่ได้มาเร็วๆไวๆ
อาทิ
ความสำเร็จที่มารวดเร็ว
เงินทองที่มาโดยไม่ต้องทำงานหนัก
การดูแคลนคนที่มีอาชีพ รปภ. แม่บ้าน ว่าเป็นคนที่ไม่มีทางก้าวหน้าได้แล้ว ฯลฯ
และมักมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เช่น เวลาชีวิต โอกาสทางการศึกษา โอกาสในการทำงาน ฯลฯ
5. ในทางกลับกัน เรื่องราวของคุณผดุงเกียรติ ยังน่าจะช่วย “ผดุงเกียรติ” ของอาชีพอัยการ
อัยการ คือ ทนายแผ่นดิน
ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี มีคุณค่า
ควรค่าแก่การมุ่งมั่นฟันฝ่า พากเพียรเพื่อให้ได้เป็น “อัยการ”ได้ทำงานที่มีค่าต่อแผ่นดิน ต่อประเทศชาติ
ซึ่งในปัจจุบัน มีอัยการจำนวนไม่น้อย ตกเป็นข่าวในทางเสียหาย
บางส่วน ทรยศต่อวิชาชีพอัยการ
บางคน เกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงินรับทองก็มี
บางคดี ทำหน้าที่เอนเอียงเข้าข้างอำนาจเงิน อำนาจนักการเมือง ก็มีข่าวให้เห็นโดยตลอด
บางคนมีลักษณะดูไม่เหมือนทนายแผ่นดิน แต่เป็นไส้ศึกของโจร ก็มีให้เห็น
ดังนั้น หวังว่า อัยการทั้งหลายจะมีกำลังใจ รวมถึงได้กระตุกคิดถึง “ศักดิ์ศรี” และ “เกียรติยศแห่งวิชาชีพ” จากการให้คุณค่าโดยคุณผดุงเกียรติที่มุ่งมั่นจะเป็นอัยการ และได้เป็นในที่สุด
ด้วยความปรารถนาดีต่ออัยการ และสถาบันอัยการ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี