จากกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีออกมาแก้ข่าวว่าสื่อตีความคำสัมภาษณ์สำนักข่าว Bloomberg ว่า นายเศรษฐาจะตั้ง น.ช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานที่ปรึกษารัฐบาลหลังจาก น.ช.ทักษิณพ้นโทษ
นายกรัฐมนตรี แก้ข่าวยืนยันว่า ไม่เคยพูดอย่างนั้นแต่สิ่งที่ถูกถามว่าจะปรึกษานายทักษิณ หรือไม่ ตนจึงตอบว่า ปรึกษาอดีตนายกรัฐมนตรีทุกท่าน ซึ่งท่านแรกที่ได้ปรึกษา คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายอานันท์ ปันยารชุน ที่ได้ไปหาถึงบ้าน ส่วนทักษิณ#เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับคำชื่นชมจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก และเป็นคนที่มีความรู้“#ผมคิดว่าประเทศไทยคงเสียหายถ้าไม่ปรึกษาคนเหล่านี้เพราะผมเป็นมือใหม่หัดขับ ซึ่งไม่ใช่แค่นายกรัฐมนตรี เท่านั้น อดีตรองนายกฯ ผู้แทนการค้าไทย รัฐมนตรี ปลัดกระทรวงก็ปรึกษาหมด ไม่ได้กีดกันใครทั้งสิ้น..ฯลฯ
หากนายเศรษฐาพูดกับบลูมเบิร์ก เป็นดังคำชี้แจงจริง แสดงว่าผู้สื่อข่าวที่ติดตามนายกฯไปนิวยอร์กบิดเบือนข้อมูลส่งข่าวมายังต้นสังกัด โดยให้องค์กรข่าวที่ตนสังกัดเสนอข่าว ตามที่ตนเองตีความตามที่ตั้งใจว่า นายเศรษฐาควรเชิญ น.ช.ทักษิณเป็นปรึกษาหลังจากพ้นโทษตามที่รัฐบาลก่อนหน้า กับ พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลปัจจุบันสมคบกับช่วยให้ น.ช.ทักษิณผู้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยนับล้านๆ บาท จากคอร์รัปชั่น ทางนโยบายและทุจริตทางตรงซึ่งศาลได้ตัดสินลงโทษไปแล้วไม่ต้องรับโทษในคุกจริง
ดังนั้นการที่นายเศรษฐา พูดว่า“นายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับคำชื่นชมจากพี่น้องประชาชนอย่างมาก และ เป็นคนที่มีความรู้ ผมคิดว่าประเทศไทยคงเสียหายถ้าไม่ปรึกษาคนเหล่านี้...” แสดงว่านายเศรษฐาพูดความจริงครึ่งเดียวว่า น.ช.ทักษิณ ได้รับความชื่นชมจากพี่น้องประชาชนอย่างมาก ฯลฯ นายเศรษฐาพูดถึงเพียงแค่คนจำนวนหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์จาก น.ช.ทักษิณ รวมทั้งนายเศรษฐาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะ น.ช.ทักษิณและน้องสาวของเขาตลอดถึงอดีตนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วยผลักดัน
นายเศรษฐากับเสนาบดีบางคนในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จึงได้พูดแต่ส่วนดีของ น.ช. ทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเคยรับใช้ น.ช.ทักษิณมานานก่อนเป็นเสนาบดีในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่มีรายงานว่าเป็นผู้เขียนฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้โดนบรรยายคุณงามความดีของทักษิณว่า “เป็นผู้สร้างคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ เป็นผู้เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์..ฯลฯ
คนเขียนฎีกาอย่างหลับหูหลับไม่ได้พูดถึงเรื่องทักษิณปล้นชาติโกงแผ่นดิน และ หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนประชาชนขับไล่ และ สุดท้ายทหาร นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก็ยึดอำนาจ ในส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ยึดอำนาจเขียนว่า...
“ด้วยเป็นที่ปรากฏความแน่ชัดว่า การบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน (ปี 2549) ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของชนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดิน อันส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง
หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อ#การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง...ฯลฯ
ผู้ที่เขียนฎีกาให้ น.ช.ทักษิณ รู้อยู่เต็มอกว่าแถลงการณ์ของคณะยึดอำนาจเขียนขึ้นมาจากความเป็นจริง โดยเฉพาะเรื่องส่อไปในทางทุจริตและ“หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง”...ฯลฯ
ผู้เขียนเองที่เป็นหนึ่งในมวลชนนับแสนๆ คนที่ร่วมประท้วงขับไล่ทักษิณในตอนนั้น เพราะคำพูดหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วคนเขียนฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้น.ช.ทักษิณ หลับหูหลับเขียนไปได้อย่างไรว่า น.ช.ทักษิณ เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
ผู้เขียนฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้น.ช.ทักษิณ มองข้ามความจริงว่า ประชาชนหลายสิบล้านคนโกรธแค้นไม่พอใจที่เขียนฎีกาให้น.ช.ทักษิณจนได้รับพระราชทานลดโทษจากแปดปีเหลือโทษจำคุกหนึ่งปี นอกจากนั้นยังสมคบกันบริหารจัดการไม่ให้ น.ช.ทักษิณติดคุกจริง
มาถึงวันนี้นายเศรษฐา ก็ทำเป็นหูหนวกตาบอดที่ไม่ได้ยินเสียงวิจารณ์ด่าว่าเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจที่ปฏิบัติต่อ น.ช.ทักษิณ เหมือนนักโทษเทวดา ดังนั้นเมื่อนายกรัฐมนตรีพูดว่า#ทักษิณเป็นที่ชื่นชมของคนจำนวนมาก ประเทศไทยคงเสียหายถ้าไม่ได้ปรึกษาคนเหล่านี้ คำพูดของนายเศรษฐาในฐานะนายกรัฐมนตรี เหมือนเป็นการชี้นำเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องว่าทำถูกต้องแล้วที่ปรนนิบัติ น.ช.ทักษิณ แบบนักโทษ VVIP และน.ช.ทักษิณ ควรอยู่ในห้องรอแยล สวีท อย่างหรูหราสุขสบายต่อไป จนถึงเวลาที่คนในรัฐบาลก่อนกับพรรคเพื่อไทยตกลงกันไว้ว่าให้น.ช.ทักษิณ ออกจาก โรงพยาบาลวันไหน เมื่อไหร่
คำพูดนายเศรษฐา ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ชื่นชม น.ช.ทักษิณว่า#เป็นผู้มีความรู้ประเทศไทยเสียหายถ้าไม่ได้ปรึกษา เหมือนกับเป็นการชี้นำให้ทุกองคาพยพของรัฐบาลละเลยหลักนิติธรรมแล้วนำช่องว่างกฎระเบียบ กฎหมายมาใช้กับ น.ช.ทักษิณ นอกจากนั้นคำพูดของนายเศรษฐา ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนไทยที่ติดตามคณะไปนิวยอร์กได้นำคำพูดนายกรัฐมนตรีมาขยายความคุณงามความดีของ น.ช.ทักษิณที่นักข่าวบางคนก็เทิดทูนบูชานักโทษชายไม่น้อยกว่าคนในพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น การแก้ข่าวของนายเศรษฐาจึงเหมือนคำพังเพยที่ว่า #ปากว่าตาขยิบ เพราะไม่มีใครรู้ว่านอกจากสัมภาษณ์บลูมเบิร์กแล้ว นายเศรษฐาได้พูดเรื่อง น.ช.ทักษิณกับนักข่าวด้วยหรือไม่ แต่สิ่งที่เป็นลางสังหรณ์ใจว่า นักข่าวบางคนติดตามคณะนายเศรษฐาไปเพื่อข่าวนี้โดยเฉพาะ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นักข่าวรายงานว่า“หลังจากพ้นโทษนายเศรษฐาจะตั้ง น.ช.ทักษิณเป็นประธานที่ปรึกษา พร้อมกับคำพูดว่า #ทักษิณเป็นมูลค่าเพิ่มของคนไทยและประเทศไทย คำพูดทำนองนี้นักข่าวคนนั้นคิดเองไม่ได้หรอกคำว่า“มูลค่าเพิ่ม” เป็นคำพูดของนักธุรกิจพ่อค้าที่แสวงหากำไรเท่านั้น
อย่างไรตามการจุดประเด็นตั้ง น.ช.ทักษิณ เป็นประธานที่ปรึกษาได้รับการสนองตอบจากทุกองคาพยพของรัฐบาลตั้งแต่ รองนายกฯ รมว.ยุติธรรม รมว.กลาโหม ตลอดถึงหน่วยงานราชการกรมราชทัณฑ์โรงพยาบาลตำรวจ และอื่นๆ หลักนิติธรรม ธรรมาภิบาลจึงถูกย่ำยีจากข่าวชิ้นนี้ยับเยิน
นักข่าวผู้จุดประเด็นข่าวนี้คุ้มค่ากับที่เสียค่าโดยสารเองไปในเครื่องเช่าเหมาลำ ส่วนว่าจ่ายอย่างไร วิธีไหนไม่ต้องสอบถามให้เสียเวลา รอให้สภาซักถามนายกรัฐมนตรีว่า หักค่าใช้จ่ายของลูกสาวกับนักข่าวที่บอกว่าเสียค่าใช้จ่ายเองจากการเช่าเหมาลำเครื่องบินสามสิบล้านบาทโดยวิธีใดอย่างไร เงินหลวงจะซิกแซกเหมือนภาษีซื้อขายที่ดินได้หรือไม่?
แต่สิ่งที่คนนอกวงการข่าวควรเข้าใจ คือ สื่อมวลชนที่ลงทุนไปทำข่าวถึงอเมริกาจะไม่เสียเวลากับข่าวไร้สาระที่รู้กันทั่วไปแล้วในประเทศไทย และหากผู้นำไทยพบปะเจรจากับผู้นำต่างประเทศ นักการเมืองหรือนักธุรกิจต่างชาติ นักข่าวที่เป็นมืออาชีพ และได้รับการบ่มเพาะมาอย่างดีจะสอบถาม หรือเสนอข่าวปฏิกิริยาของคู่เจรจากับผู้นำไทยเช่นคำถามคู่เจรจาว่า ผลของการเจรจาเป็นอย่างไร?ได้ตกลงหรือมีคดีความฟ้องกันในประเด็นใดบ้าง? ภาษาอังกฤษพื้นๆ อย่างนี้นักข่าวที่เรียนจบมัธยม ก็ถามได้และคำตอบของคู่เจรจาไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบล้วนแต่นำมาเป็นข่าวได้ ส่วนคำถามเรื่องข้อครหาหรือความคืบหน้าใดๆ คณะของคนไทยจะแถลงให้คนทั่วไปรับทราบอยู่แล้ว
นักข่าวมืออาชีพ หากต้องถามนายกฯเศรษฐา ในนิวยอร์กต้องถามว่า“จะจัดการอย่างไรให้นักโทษเทวดากลับเข้าคุก? ท่านรู้สึกกดดันหรือไม่ที่คนไทยจำนวนมากอยากให้น.ช.ทักษิณกลับเข้าคุก? หรือถ้าเกรงก็ถามว่าอาการป่วยของน.ช.ทักษิณเป็นอย่างไรใกล้ตายแล้วหรือยัง?”เป็นต้น
แต่หากเป็นสื่อมวลชนจัดตั้งที่คนของ น.ช.จัดการให้เดินทางไปกับคณะนายเศรษฐาก็คงจะถามว่า “ท่านจะหาตำแหน่งอะไรให้ผู้มีพระคุณเมื่อ น.ช.คนนั้นพ้นโทษออกมา”
สิ่งสำคัญที่คนนอกวงการสื่อมวลชนต้องเข้าใจว่า ในวงการสื่อสารมวลชนมีนักข่าวรับจ้างคอยสร้างประเด็นคอยฟอกขาวให้คนร้ายสังคมไทยเสื่อมทรามและสับสนเพราะสื่อมวลชนประเภทนี้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี