เมื่อพรรคการเมืองหนึ่งใด (หรือร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ) จัดตั้งคณะรัฐบาล ก็ย่อมถูกคาดหวังจากสังคมว่า จะมีความสามารถในการลงมือทำงานได้อย่างทันทีทันควัน ไม่ต้องรีรอ เพราะถือว่า ทุกนโยบายที่นำเสนอต่อประชาชนช่วงการหาเสียงเลือกตั้งนั้น จะต้องมีการศึกษา เตรียมการ มีวิธีการปฏิบัติ มาอย่างรัดกุมเรียบร้อยแล้ว
แต่สำหรับคณะรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของราชอาณาจักรไทยภายใต้การนำพาของนายกรัฐมนตรีนามว่า เศรษฐา ทวีสิน นั้น กลับต้องใช้เวลาเมื่อเข้ารับตำแหน่ง มาเริ่มศึกษา หาข้อมูลรายละเอียด พินิจพิจารณาเพื่อวางขั้นตอนการดำเนินการสำหรับนโยบายที่ได้โฆษณาป่าวประกาศ และให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนพลเมือง ไม่ว่าจะในเรื่องการลดค่าไฟฟ้า ลดค่าเชื้อเพลิง ปลดหนี้ ลดหนี้ ไปจนถึงเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้ายกระดับ 20 บาทตลอดสาย รวมถึงเรื่องกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทต่อหัวต่อสำหรับคนอายุ 16 ปีขึ้นไปนั้น
สะท้อนให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยนั้นมิได้มีการเตรียมการจัดทำการศึกษา และจัดทำข้อยุติเพื่อการปฏิบัติการใดๆ ไว้ล่วงหน้าเลย กลายเป็นว่าเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วถึงจะได้เริ่มศึกษาหาทางปฏิบัติ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า นี่มันมือสมัครเล่น มิได้เป็นมืออาชีพแท้จริงอย่างที่โฆษณาบลัฟผู้อื่นเอาไว้
อีกทั้งแต่ละรัฐมนตรี ก็ผุดเรื่องข้อเสนอต่อประชาชนพลเมืองคนละเรื่องสองเรื่อง กระทรวงสาธารณสุขก็เกิดอยากจะสร้างโรงพยาบาลให้ครบทุกเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการไปแย่งงาน กทม. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ก็อยากจะจัดหาและฝึกอบรมพนักงาน สังคมบริการ มาคู่เคียง หรือมาซับซ้อนกับหน้าที่ของ อสม. ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็อยากจะเปลี่ยนเอกสาร สปท. ไปเป็นเอกสารเชิงพาณิชย์ เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ที่ดินของหลวง ไปจนถึงเรื่องกระทรวงต่างๆ ก็อยากจะส่งเสริม Soft Power ที่ยังไม่มีคำแปลเป็นภาษาไทยให้เข้าอกเข้าใจกัน รวมถึงการที่จะส่งเสริมแรงงาน (ไร้ฝีมือ) เสมือนว่าอยากจะส่งเสริมคนไทยให้เป็นสมุนรับใช้คนต่างชาติ แล้วก็ทำงานแบกหามกันต่อไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่อง BCG หรือ ESG หรือเศรษฐกิจ 4.0ที่ต้องการแรงงานมีฝีมือและแรงงานวิชาชีพ เป็นต้น แสดงว่าเสนาบดีผู้ใดเกิดนิมิตขึ้นมาได้ก็พูดออกมา ขาดการโยงใยกับถ้อยแถลงที่รัฐสภาของนายกรัฐมนตรีในวันที่เข้ารับตำแหน่ง และทั้งหมดก็แสดงว่าเสนาบดีแต่ละคนยังมิได้เรียนรู้และทำความเข้าอกเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและภาระหน้าที่ของกระทรวงในสังกัดของตนอย่างจริงจัง หรือนัยหนึ่งไม่มี big picture และฉะนั้นก็ไม่มี big vision ที่จะขับเคลื่อนกระทรวงในสังกัดของตนได้ แสดงความเป็นมือสมัครเล่น
ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีนั้นในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือนที่เข้ารับตำแหน่ง ก็ใช้เวลาอยู่ที่ต่างประเทศมากมาย โดยพูดแต่เรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยว และก็การเชิญชวนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน แต่มิได้มีการกล่าวถึงการเตรียมความพร้อม และการแก้ไขประเด็นปัญหาที่ค้างคาอยู่แต่อย่างใด ที่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการผลิต
นอกจากนั้น หลายประเทศที่นายกรัฐมนตรีได้ไปเยือนช่วงนี้ ก็ไม่ได้มีความสลักสำคัญที่โดดเด่นต่อผลประโยชน์ของไทยแต่อย่างใด สามารถที่จะชะลอการไปเยือนได้ จึงไม่รู้ว่ารีบไปเยี่ยมเยียนทำไม โดยเฉพาะในขณะที่ยังมีปัญหา มีเรื่องคาอกคาใจของคนไทยทั้งชาติซึ่งนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง อย่างเรื่องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องความตกต่ำของค่าเงินบาทและการถดถอยของเศรษฐกิจไทยเป็นการทั่วไป ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีคลัง ต้องให้เวลากับตนเองในการศึกษาเรื่องราว ปรึกษาหารือกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประเทศไทยหลุดออกจากสภาวะตกต่ำนี้
นอกจากนั้นตัวนายกรัฐมนตรีเอง ก็ยังทำงานเหมือนเป็นหัวหน้ากอง กองงานโฆษกรัฐบาล โดยพูดจามากเรื่อง แต่บ่งบอกว่าท่านยังมีองค์ความรู้และความเข้าอกเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ อย่างค่อนข้างจำกัด และยิ่งไปกว่านั้นดูจะไปเอางานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาทำเสียเอง เช่น ในเรื่องปัญหาขัดแย้งระหว่างอิสราเอล กับฝ่ายปาเลสไตน์ การแสดงท่าที การชี้แจงต่างๆ จึงดูขาดๆ เกินๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ทั้งหมดนี้
ก็อดให้คิดไม่ได้ว่า ทำไมความเก่งกล้าสามารถและความสำเร็จในกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ในอดีต ถึงไม่สามารถถ่ายทอด หรือนำมาใช้กับการบริหารราชการบ้านเมืองได้
ทั้งนี้ก็ต้องตั้งคำถามไปยัง คุณทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ในการสนับสนุนให้คุณเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้น มีความคิดอ่านอย่างไรว่า ทหารเอกคนนี้ใช้การได้จริงหรือไม่ หรือจะมีการต้องติวเข้ม หรือจะมีการปรับเปลี่ยนในอนาคต เพราะหากปล่อยให้หัวหน้ารัฐบาลที่มีฝีมือระดับสมัครเล่นโลดแล่นต่อไป ก็รังแต่จะนำความเสียหายมาให้กับทั้งคู่
โดยส่วนตัวคุณเศรษฐา ทวีสิน เอง ก็คงจะไม่สายเกินไปที่จะถอยหลังลงมาสักก้าวหนึ่ง มานั่งคิดทบทวน ปรับกระบวนยุทธ และท่าที การจะเป็นผู้นำประเทศสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ขีดความสามารถในการรับฟัง และขีดความสามารถในการที่จะหลอมรวมให้รัฐมนตรีร่วมกันทำงานเป็นทีม และมีทิศทางในการที่จะนำพาประเทศร่วมกัน
ส่วนทางด้านพรรคฝ่ายค้านนั้น ก็ยังดูงงๆ อยู่กับภารกิจอันใหม่ถอดด้ามนี้ ทั้งๆ ที่มีโอกาสจะได้แสดงความคิดเห็นต่อความเป็นไปของบ้านเมือง ต่อฝีไม้ลายมือสมัครเล่นของทีมรัฐบาล แต่ก็ดูเงียบเฉย ยังตั้งไข่ไม่ได้ ก็คงต้องรีบปรับปรุงตัว เพราะประชาชนรอคอยอยู่ให้ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อถ่วงดุลและเพื่อเสนอทางออก และทางเลือกให้กับสังคมไทย ซึ่งหากไม่เร่งรีบกระทำ สังคมไทยก็จะเต็มไปด้วยนักการเมืองสมัครเล่น ทั้งๆ ที่คนไทยเขาไม่ต้องการเห็นการละเล่นทางการเมือง หากแต่ต้องการมืออาชีพมาบริหารบ้านมืองต่างหาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี