ประเด็นค่าเสียหายจากกรณีทุจริตประพฤติคดีเงินกู้เอ็กซิมแบงก์
เทวดาชั้น 14 จะรับผิดชอบอย่างไร?
รายงานข่าวระบุว่า นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เคยส่งหนังสือทวงถามการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ว่าป.ป.ช.ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท แล้วหรือไม่
ต่อมา นายพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 9 รักษาการในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 8 พ.ย. 2566 ยืนยันต่อนายวัชระ เพชรทอง ว่า สำนักงาน ป.ป.ช. (โจทก์) ได้มีหนังสือแจ้งให้กระทรวงการคลังดำเนินการเพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตร (จำเลย) ชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 ไปแล้ว
ป.ป.ช.ได้ส่งหลักฐานยืนยันมาเป็นหนังสือลงวันที่ 8 สิงหาคม 2562 ป.ป.ช.ได้มีการส่งหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ปช 1129/1355 ถึงปลัดกระทรวงการคลัง แจ้งว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 ระหว่าง ป.ป.ช. (โจทก์) และนายทักษิณ ชินวัตร (จำเลย) ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 ว่า จำเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ได้เข้ามีส่วนได้เสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือบริษัท ชินแซท เทลไลท์ จำกัด (มหาชน) อันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ให้จำคุก 3 ปี
ส่วนประเด็นว่า โจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยคืนหรือใช้ค่าเสียหายให้แก่ กระทรวงการคลังหรือไม่ เพียงใดนั้น ขณะยื่นฟ้อง เมื่อปี พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 73/1 วรรคหนึ่ง (เดิม) กำหนดวิธีเรียกค่าเสียหายไว้เป็นการเฉพาะแล้ว กรณีจึงเป็นเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)) เห็นชอบที่จะต้องแจ้งให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้จำเลยชดใช้ความเสียหายนั้น ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจโจทก์มีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ค่าเสียหายแก่กระทรวงการคลังเข้ามาในคดีนี้ได้ จึงต้องยกคำขอส่วนนี้ ซึ่งบัดนี้คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว
สำนักงาน ป.ป.ช. จึงขอเรียนว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้รับทราบคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว และมีมติให้แจ้งผลคดีดังกล่าว ให้กระทรวงการคลัง
เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นหน่วยงานที่ได้รับความเสียหาย ที่ต้องจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีชดเชยความเสียหายที่เกิดจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย อันเนื่องมาจากการกระทำของจำเลยต่อไป
เรื่องนี้ นายวัชระ เพชรทอง ยืนยันว่า จะส่งหนังสือถึงปลัดกระทรวงการคลัง และนายเศรษฐา ทวีสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายกรัฐมนตรี ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำพิพากษาศาลต่อไป
เรื่องนี้ น่าสนใจติดตามว่า สุดท้ายกระทรวงการคลังยุคทักษิณคืนเมือง จะดำเนินการอย่างไรต่อในเรื่องนี้
เพราะกรณีทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ (ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย) คำพิพากษาของศาลถึงที่สุดแล้ว ชี้ว่ามีการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบจริง ก่อให้เกิดความเสียหายจริง
กระทั่งล่าสุด นายทักษิณก็ยอมรับตามคำพิพากษา
แต่จะต้องถูกเรียกค่าเสียหายอย่างครบถ้วนด้วยหรือไม่นั้น จึงน่าสนใจติดตาม
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์
เหตุเกิด ช่วงปี 2546-2547 ทักษิณ ชินวัตร อาศัยความเป็นนายกรัฐมนตรีไทย สั่งการเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลทหารพม่า 4.000 ล้านบาท
เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของครอบครัวตัวเอง
ไปตกลงกับนายทหารระดับสูงของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าในขณะนั้น 3 พันล้าน
ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2546 มีการประชุมสุดยอดผู้นำกัมพูชา ลาว พม่า และไทย ที่เมืองพุกาม สหภาพพม่า นายกฯ ทักษิณถึงขนาดอนุมัติให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ร่วมเดินทางเป็นคณะทางการด้วย
พนักงานบริษัทชินแซทเทลไลท์ฯ และบริษัทเอไอเอส กิจการของทักษิณ ก็ได้เข้าไปโชว์สินค้าบริเวณสถานที่จัดการประชุมด้วย ทั้งๆ ที่ การประชุมไม่มีความตกลงความร่วมมือด้านโทรคมนาคม
จากนั้น ทักษิณ ชินวัตร สั่งให้เพิ่มเงินกู้สนับสนุนการพัฒนาโทรคมนาคมในชนบทของพม่า 3 โครงการ มูลค่า 24 ล้านดอลลาร์
โดยมีบริษัทชินแซทเทลไลท์ เป็นผู้ดำเนินโครงการ
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น ไม่เห็นด้วย เพราะเพิ่งจะอนุมัติให้เงินกู้พม่าไป 3 พันล้าน และยืนยันว่า “ไม่สมควรจะมีความร่วมมือด้านโทรคมนาคมเป็นการเฉพาะกับประเทศไทย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไทยเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดภายในประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ข้อครหาว่ามีผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้อง”
นายทักษิณลุแก่อำนาจถึงขนาดสั่งการว่า “เราให้หลักการขอไว้ 3,000 ล้านบาท เมื่อเขาขอมา 5,000 ล้านบาท ก็ให้พบกันครึ่งทาง ให้เขา 4,000 ล้านบาท และให้นายสุรเกียรติ์ แจ้งไปว่านายกฯ ทักษิณสั่งการว่าให้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท และจะให้การอุดหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย”
ในที่สุด เอ็กซิมแบงก์ต้องอนุมัติสินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลพม่า ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ต่ำกว่าต้นทุนในขณะนั้นรวมทั้งขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปีเป็น 5 ปี ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งธนาคาร
นั่นเป็นเหตุให้เอ็กซิมแบงก์ได้รับความเสียหายตามประมาณการโครงการทั้งสิ้น 670 ล้านบาท
และกระทรวงการคลังต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ปี’49 และ ปี’50 ชดเชยความเสียหาย คิดถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2551 เป็นเงิน 189 ล้านบาท
แม้ในภายหลัง ทางพม่าจะได้ชำระหนี้จนครบถ้วน เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 แต่นั่นก็ภายหลังจากการกระทำผิดสำเร็จแล้ว และเป็นการชำระหนี้ในยุคหลัง
ความจริง กระทรวงการคลังต้องเอาเงินภาษีคนไทยทั้งประเทศไปชดเชยให้เอ็กซิมแบงก์ เพราะอดีตนายกฯ ทักษิณต้องการช่วยให้กิจการของตนประกอบธุรกิจในพม่าอย่างราบรื่น ได้รับประโยชน์จากการขายสินค้า รวมทั้งเป็นผู้บริหารและที่ปรึกษาโครงการโทรคมนาคม
แก่สหภาพพม่า
เป็นบทเรียนกรณีศึกษา ผลประโยชน์ชาติ แลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมือง
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 จำคุก 3 ปี
ปัจจุบัน ทักษิณยอมรับผิดตามคำพิพากษา และได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือจำคุก 1 ปี (3 คดี)
แต่เรื่องการเรียกค่าเสียหายนั้น เป็นอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ จะว่าอย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี