รายงานข่าวระบุว่า ล่าสุด สภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาของกัมพูชา มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง สำหรับแผนการดำเนินการของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการยื่นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก (ICJ)

สมเด็จฮุนเซน (Hun Sen) ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์แจ้งข่าวดังกล่าวในเฟซบุ๊กด้วย

1. ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้โพสต์เฟซบุ๊กเป็นรูปตัวเองในเครื่องแบบชุดทหาร พร้อมข้อความภาษาเขมรระบุว่า ตนได้พบกับผู้นำทหารที่ชายแดน เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์จริงที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย และได้สั่งให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ฝ่ายกัมพูชา ให้ดำเนินการเตรียมพร้อมบรรจุวาระการประชุม JBC เพื่อนำเรื่องปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมไบ(สามเหลี่ยมมรกต-บริเวณช่องบก) เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

ฮุน มาเนต อ้างว่า สถานการณ์ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ในพื้นที่มุมไบ (สามเหลี่ยมมรกต) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ดเพราะกิจกรรมที่ดำเนินการโดยกลุ่มหัวรุนแรงไม่กี่กลุ่ม ได้ไปปลุกปั่นขบวนการที่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับชาตินิยมในทั้งสองประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ จึงหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกัน เพื่อหาข้อยุติข้อพิพาทในพื้นที่อ่อนไหวเหล่านี้ รวมถึงดำเนินการสำรวจ รังวัด และปักเสาเขตแดนในพื้นที่ที่ยังตกลงกันไม่ได้นี้ ด้วยแนวทางที่สันติ ที่อิงตามกฎหมายทางเทคนิค และระหว่างประเทศ โดยย้ำว่า กัมพูชายังคงขอสงวนสิทธิที่จะปกป้องดินแดนของตนด้วยทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้กำลังทหาร ในกรณีที่มีความพยายามรุกรานดินแดนของกัมพูชา โดยใช้กองกำลังทหารมาบังคับ

ท่าทีของนายกฯ ฮุน มาเนต เป็นไปตามแนวทางที่สมเด็จฮุนเซนผู้เป็นบิดา ได้เคลื่อนไหวกล่าวหาไทยอย่างแข็งกร้าว โดยโจมตีว่าฝ่ายไทยเป็นผู้รุกราน แต่ไม่พูดถึงการขุดคูเลตในพื้นที่ฝ่ายไทยของทหารกัมพูชาเลย

2. เขมรกระเหี้ยนกระหือรือจะฟ้องศาลโลก เท่ากับฉีกเอ็มโอยู 43

ศาลโลก ไม่ได้เป็นเหมือนศาลยุติธรรมบ้านเรา

ศาลยุติธรรม เมื่อเกิดเหตุร้ายในประเทศไทย เกิดคดีความก็ต้องขึ้นศาลยุติธรรมตามกฎหมายไทย

แต่สำหรับ “ศาลโลก” ไม่ใช่ว่าจะต้องขึ้นศาลโลกทุกกรณีโดยอัตโนมัติ

ถ้ามีใครนำคดีไปฟ้องต่อศาลโลก จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสองฝ่าย (Consent-based Jurisdiction)

กรณีนี้ ถ้าไทยไม่ยินยอม ก็ไม่สามารถพิจารณาคดีได้

ประเทศไทยถอนคำยินยอมรับศาลโลกออกไปแล้ว หลังคดีปราสาทพระวิหาร

ยิ่งกว่านั้น MOU43 ก็กำหนดกลไกในการปักปันและแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาไว้อยู่แล้ว ว่าต้องคุยกันตรงนี้ ไม่ใช่ไปศาลโลก

ถ้ากัมพูชาจะไปศาลโลกฝ่ายเดียว ก็เท่ากับกัมพูชาเป็นฝ่ายฉีกเอ็มโอยู43

โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าว มีสาระสำคัญว่า ทั้งสองประเทศจะร่วมกันสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกตามกระบวนการในกรอบคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission หรือ JBC) และจะไม่ดำเนินการใดๆ เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่หรือสถานะของดินแดนที่ยังพิพาท จนกว่าการปักปันจะแล้วเสร็จ ดังนั้น การขุดสนามเพลาะและตั้งฐานตรึงกำลังของทหารกัมพูชา จึงเป็นการยั่วยุและละเมิดข้อตกลงที่จะงดการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่เดิม

3. ต่อให้นักการเมืองตระกูลฮุนทั้งโคตร ประกาศไป หรือจะฟ้องไป ต่อให้อ้างชัยชนะฝ่ายเดียว แต่ประเทศไทยก็ไม่มีข้อผูกพันใดๆ จะไปยกดินแดนแผ่นดินไทยให้อริราชศัตรู

ถ้ากัมพูชา จะเข้ามายึดครองพื้นที่จริง กองทัพไทยก็ต้องปกป้องดินแดน ด้วยการใช้กำลังอาวุธอย่างเต็มพิกัด ด้วยความชอบธรรมเต็มที่ เท่านั้นเอง

ข้าราชการ นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายไทย ผู้ใดเข้าข้างประโยชน์ฝ่ายกัมพูชา มันคือ กบฏต่อแผ่นดินไทย เท่านั้นเอง

4. Rogue state (รัฐขี้โกง หรือ รัฐอันธพาล) คืออะไร?

ดร.ไชยันต์ ไชยพร โพสต์เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ว่าด้วยเรื่อง “Rogue state (รัฐขี้โกง หรือ รัฐอันธพาล) คืออะไร?”

ระบุว่า

“Rogue state (รัฐขี้โกง หรือ รัฐอันธพาล) คืออะไร? หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “รัฐนอกกฎหมาย”

Rogue state เป็นคำที่ใช้เรียกประเทศที่เป็นอันตรายหรือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ

เนื่องมาจากการกระทำและนโยบายของรัฐเหล่านี้

รัฐเหล่านี้มักจะมีรัฐบาลเผด็จการ ละเมิดสิทธิมนุษยชน สนับสนุนการก่อการร้าย หรือแสวงหาอาวุธทำลายล้างสูง

ปัญหาของเราขณะนี้ คือ ครอบครัวผู้นำประเทศของเรา มีสายสัมพันธ์แบบเครือญาติกับครอบครัวผู้นำกัมพูชา

ในขณะที่นายกฯ และพ่อนายกฯ กำลังมีปัญหาสารพัดเข้าขั้นวิกฤตก็ว่าได้

เราเลยไม่รู้ว่า ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังระอุขณะนี้เกิดจาก

1 ถูกสร้างขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาภายในประเทศ

2 ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้พ่อนายกฯได้เป็นพระเอกของชาติแสดงบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ย

3 ถูกสร้างขึ้นเพื่อยั่วยุให้ทหารออกมารัฐประหาร

เพื่อเป็นทางลง และทางหนี ของสองพ่อลูก

จากทางตันทางการเมือง และจะทำให้เกิดวาทกรรม ฝ่ายประชาธิปไตยเสรี กับ ฝ่ายจารีตเผด็จการ ขึ้นมากลบเกลื่อน ความคดโกง ความไร้น้ำยาในการบริหารประเทศ”

5. ในความเป็นจริง สันติภาพและความร่วมมือกันระหว่างประเทศ ด้วยความจริงใจ ด้วยมิตรภาพ ด้วยการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันฉันมิตรประเทศ คือ สิ่งที่ดีที่สุด

แต่การแสดงออกของฝ่ายกัมพูชาในขณะนี้ ไม่มีพื้นฐานดังกล่าวเลย

สมัยก่อน ช่วงปี 2528-2530 กองทัพไทยเคยสู้รบกับกองทัพเวียดนาม (ที่เข้ายึดครองกัมพูชาในเวลานั้น) การต่อสู้ ณ สมรภูมิช่องบกดุเดือด ยืดเยื้อ ก่อนที่ไทยสามารถขับไล่ทหารเวียดนามออกไปได้ช่วงปลายปี 2530 แต่ก็ต้องสูญเสียทหารไทยนับร้อยชีวิต เอาชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลกแผ่นดินไทยตรงนี้ไว้

“ช่องบก” จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญปกป้องผืนแผ่นดิน และอธิปไตยของไทย

ล่าสุด เหตุปะทะเช้ามืดวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ใช้เวลาราว 10 นาที ก่อนจะยุติลงในเวลาประมาณ 05.55 น. มีรายงานว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย

ความจริง จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้ มาจากความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชาเอง ที่เข้าไปขุดคูเรต หรือร่องคูแนวสนามเพลาะ ยาวประมาณ 650 เมตร ละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมกัน และว่ากันตามตรง ทหารกัมพูชายังอาจรุกล้ำแผ่นดินไทยด้วยซ้ำ

ดังที่คุณวาสนา นาน่วม (Wassana Nanuam) นักข่าวสายทหาร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ระบุว่า

“...ที่เขมร เผาศาลาตรีมุข แล้วเอากำลัง เข้ามาพรึ่บ“มุมไบ” ในพื้นที่ สามเหลี่ยมมรกต รอยต่อสามแผ่นดิน ไทย-ลาว-กัมพูชา และล้ำมาถึง “ช่องบก” เข้าเขตดินแดนไทย เพราะมีแผน
จะยึด “สามเหลี่ยมมรกต” นี่เอง

นี่คงเป็นความตั้งใจของ สมเด็จฮุนเซน มายาวนาน และก็เป็นจริง !!ในยุคที่ พลเอกฮุน มาเนต ลูกชาย เป็นนายกฯ และพลเอกเตีย เซรยฮา ลูกชาย พลเอกเตีย บันห์ คนเกาะกง เป็น
รมว.กลาโหม ต่อจากพ่อ

ทหารเขมร รุกคืบเข้ามาทีละนิดๆ จากเผาศาลาตรีมุข 28 ก.พ.2568 เข้ามายึดพื้นที่ จนที่สุดก็ล้ำเข้ามายึดพื้นที่รอยต่อ ถึง 650 เมตร แล้วก็ เข้ามาที่แนวต้นพญาสัตบรรณ ที่เป็นสัญลักษณ์ เขตไทย และตั้งฐานทหาร ด้วยการเอา รถแทรกเตอร์ เข้ามา ขุดคูเรต ยึดพื้นที่....

...หากพูดตามข้อเท็จจริง พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตนั้น จะใช่พื้นที่ของไทยหรือไม่ก็ตาม เพราะเดิมเป็นพื้นที่ร่วมในการประสานงานของทหาร 3 ชาติ ที่ลาดตระเวน และพัฒนาสัมพันธ์ มานัดเจอกันที่ศาลาตรีมุข แล้วก็แยกย้าย กลับดินแดนของตนเอง ทหารเขมรจะยึด ก็ยึดไป

แต่ ดินแดนไทย 150 เมตร ที่ล้ำเข้ามา แม้จะเป็นป่าเขา แต่ทหารไทยใช้เลือดและชีวิตรักษาไว้จนมาถึงรุ่นเรา เรามีหน้าที่ต้องรักษาไว้ ต่อให้แค่ ตารางนิ้วเดียว ก็ตาม

ทหารเขมร ต้องถอนกำลังออกไป”

แต่พอเจรจากัน ตกลงกันว่า จะใช้กลไกที่มีอยู่ทั้งหมด เช่น JBC, GBC และ MOU2543 เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนอย่างสันติ ต่างฝ่ายต่างถอยจากจุดปะทะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะซ้ำรอยขึ้นอีก

ฝ่ายกัมพูชากลับแสดงท่าทีปลุกปั่น กำเริบเสิบสาน

ทั้งใช้สื่อของรัฐบาลกัมพูชา ทั้งสื่อโซเชียลของสมเด็จฮุนเซน กล่าวโจมตีฝ่ายไทยว่ารุกราน อ้างว่าพื้นที่จุดนั้นเป็นบริเวณที่ฝ่ายกัมพูชา “อยู่มาตั้งแต่ก่อนการลงนาม MOU ปี 2543”

เรียกว่า โมเม มั่วชัดๆ

แถมปลุกระดมให้คนกัมพูชาสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชา

พฤติกรรมแบบนี้ เป็น “นิสัยถาวรของนักการเมืองตระกูลฮุน”

กำลังใช้การปลุกปั่นความรู้สึกคนในกัมพูชา สร้างกระแสชาตินิยมกัมพูชา สร้างภาพให้ฝ่ายไทยเป็นศัตรู เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในการรักษาฐานอำนาจของตน

สังเกตว่า ทุกครั้งที่รัฐบาลกัมพูชาเผชิญแรงกดดันภายใน หรือมีการเลือกตั้ง ที่ผ่านมา สมเด็จฮุนเซน มักหยิบประเด็นความขัดแย้งกับไทยมากระตุ้นความรู้สึกฮึกเหิม สร้างภาพตนเป็นผู้พิทักษ์กัมพูชาโดยตลอด

ครั้งนี้ ยิ่งฝ่ายไทย รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ ลูกสาวของนายทักษิณ เป็นนายกฯ ตระกูลชินวัตรครองอำนาจ ใกล้ชิดกับครอบครัวฮุนเซนเป็นพิเศษ

คนไทยต้องจับตาว่า มีใครชักใยเล่นบทบาทไหนกันอยู่ บนความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ใครเป็น “รัฐอันธพาล” หรือเป็น “อัณฑะ-พาล” ของใคร?

สารส้ม