ท่าที การแสดงออกของสมเด็จฮุนเซน ไม่ใช่สิ่งที่มิตรประเทศพึงกระทำ
เปิดเผยถึงความกระเหี้ยนกระหือรือ อยากได้ใคร่ครอบครองดินแดนไทยบางส่วน
1. เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2568 สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน ประธานองคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว
เนื้อหาบางส่วน ระบุว่า
“...บุคคลบางกลุ่มในประเทศไทย เรียกร้องให้กัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ ซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของทหารกัมพูชา เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในประวัติศาสตร์
ผมขอชี้แจง 3 ประเด็นดังนี้
1.พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตนี้เป็นดินแดนของกัมพูชา และทหารกัมพูชาได้ประจำการอยู่ในพื้นที่นี้มาตั้งแต่ก่อนข้อตกลงสันติภาพกรุงปารีส - ประมาณ 13 หรือ 14 ปีก่อนบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อปี 2543 ด้วยซ้ำ ซึ่ง UNTAC (องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา) อาจสามารถเป็นพยานให้ได้ หากยังไม่ชัดเจน กัมพูชาและไทยสามารถตกลงกันเพื่อยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กรุงเฮก
โดยใช้แผนที่ทางการที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล (ไม่ใช่แผนที่ที่วาดขึ้นเองเพื่ออ้างสิทธิในที่ดิน) เพื่อยุติปัญหานี้ให้เด็ดขาดตามหลักการ “ไม่ใช่แค่นั่งดูควัน แต่ต้องดับไฟให้หมด” เพื่อความสุขและความสามัคคีของคนรุ่นหลัง และเพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก
2.รูปถ่ายของผม ภรรยา และเพื่อนร่วมงานที่ไปเยี่ยมพื้นที่นี้เมื่อกว่า 15 ปีก่อน เป็นหลักฐานชัดเจนว่า นี่คือดินแดนของกัมพูชา เป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะสวมเครื่องแบบทหารแล้วไปถ่ายรูปในดินแดนของไทยหรือของลาวในบริเวณนั้น ขณะนั้นผมกำลังต้อนรับทหารลาว ที่หอประชุมแห่งหนึ่งในพื้นที่นั้น (ซึ่งต่อมาถูกเผาทำลายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน)
3.กัมพูชาไม่สามารถถอนทหารออกจากดินแดนของตนเองได้ เพียงเพราะไทยเรียกร้องให้ทำเช่นนั้น กลยุทธ์แบบนี้เคยถูกใช้โดยอดีตนายกรัฐมนตรีไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเคยบอกกับผมต่อหน้าอดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ในปี 2554 ว่า ทั้งสองฝ่ายควรถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ผมได้บอกอภิสิทธิ์อย่างชัดเจนว่า ผมไม่สามารถถอนทหารกัมพูชา ออกจากดินแดนของเราเองได้ และเขาควรเป็นฝ่ายถอนทหารผู้รุกรานของตนออกไปโดยไม่มีเงื่อนไข สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตเมื่อสามวันที่แล้ว เป็นเพียงอีกตอนหนึ่งของแผนการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในการพยายามยึดดินแดนของกัมพูชา โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับล่างเป็นผู้ลงมือ และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มหัวรุนแรงในไทย...”
2. คุณวาสนา นาน่วม Wassana Nanuam นักข่าวสายทหาร ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมระบุว่า
“เจาะแผนเขมร ไทม์ไลน์จาก เผาศาลา ตรีมุข ยึด “สามเหลี่ยมมรกต” อ้าง ดินแดนเขมร ตั้งMorakot Forces ยึดเบ็ดเสร็จ แต่ ล้ำแดนไทย 150 เมตร
ชัดเจนแล้วว่า ที่เขมร เผาศาลาตรีมุข แล้วเอากำลัง เข้ามาพรึ่บ “มุมไบ” ในพื้นที่ สามเหลี่ยมมรกต รอยต่อสามแผ่นดิน ไทย-ลาว-กัมพูชา และล้ำมาถึง “ช่องบก” เข้าเขตดินแดนไทย เพราะมีแผนจะ ยึด “สามเหลี่ยมมรกต” นี่เอง
นี่คงเป็นความตั้งใจของ สมเด็จฮุนเซน มายาวนาน และ ก็เป็นจริง !!ในยุคที่ พลเอกฮุน มาเนต ลูกชาย เป็นนายกฯ และ พลเอกเตีย เซรยฮา ลูกชาย พลเอกเตีย บันห์ คนเกาะกง เป็น รมว.กลาโหม ต่อจากพ่อ
ทหารเขมร รุกคืบเข้ามาทีละนิดๆ จากเผาศาลาตรีมุข 28 ก.พ.2568 เข้ามายึดพื้นที่ จนที่สุดก็ล้ำเข้ามายึดพื้นที่รอยต่อ ถึง 650 เมตร แล้วก็เข้ามาที่แนวต้นพญาสัตบรรณ ที่เป็นสัญลักษณ์ เขตไทย และตั้งฐานทหาร ด้วยการเอา รถแทรกเตอร์ เข้ามา ขุดคูเรท ยึดพื้นที่
ต่อมาเมื่อทหารไทย รู้ ก็เข้ามา เพื่อที่จะเจรจาให้ทหารเขมรออกไป แต่ทหารเขมร โค่นต้นไม้ มาขวางทางเข้าสู่พื้นที่ ทำให้ทหารไทย ถอยออกมาก่อน เพราะไปกันแค่ ไม่กี่คน
จากนั้น มีการประสานกันในระดับพื้นที่ แจ้งให้เขมรถอนกำลังออกไป แต่เขมร ไม่ตอบสนอง ยืนยันว่า เป็นดินแดนเขมร
ไม่ใช่แค่ไม่หยุด แต่ทหารเขมร ยังรุก ทางแนวข้างและ ลึกเข้ามา จนมายึดเนิน 745 อย่างที่เราเห็นภาพ จนทหารไทยไปเจรจาให้ถอยออกไป ซึ่งจุดนี้ ทหารเขมร (ทำที) ว่า ยอมถอย ออกไป
ทหารไทย บอกให้ มากลบคูเรท ที่ขุดไว้ ให้กลับเป็นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่าเขมร มากลบคู หรือยัง แต่มีรายงานว่า ทหารเขมร ยังไม่ยอมไปไหนไกล จาก เนิน745
เล็งที่จะเข้ามายึดได้เสมอ
ไม่แค่นั้น ทหารเขมร ล้ำแดนเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย ล้ำพิกัด 48PWA…..
...ที่เป็นดินแดนไทย ไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน เบื้องต้นล้ำเข้ามาถึง 150 เมตร และยังพยายามเข้ามาอีก
และไม่สน คำเตือนของทหารไทย ที่ให้ออกไปจากดินแดนไทย
จนนำมาซึ่ง เหตุปะทะ 28 พ.ค.2568 ที่ทหารไทย นำกำลังเข้าไปแจ้งให้ออกจาก ดินแดนไทยจนฝ่ายทหารเขมร เปิดฉากยิงใส่ ทหารไทย ก่อน จึงต้องมีการป้องกันตนเอง และยิงตอบโต้ส่งผลให้ ทหารเขมรเสียชีวิต 1 และบาดเจ็บ 2 นาย สาหัส 1 นายที่มีรายงานว่า เสียชีวิตเพิ่ม 1 นายสังเวย การล้ำแผ่นดินไทย
จนฝ่ายเขมร ขอเจรจา(ตามแผน) แต่สั่งเสริมกำลัง ซึ่งเดิมฝ่ายไทย พยายามยื้อเวลา กำหนด31 พ.ค.2568 แต่ ฝ่ายเขมรเร่ง จนนัด 29 พ.ค. ที่ ด่านช่องจอม สุรินทร์
หลังจากที่ระดับ ผู้นำรัฐบาล และผู้นำทหารคุยกัน พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. คุยผ่าน VTC กับพลเอก เมา โซะพัน รองผบ.ทหารสูงสุด/ผบ.ทบ. กัมพูชา ในวันปะทะ
จากนั้น เขมร ก็ทำตามแผนที่วางไว้มายาวนาน พลเอก เมา โซะพันรองผบ.ทหารสูงสุด/ผบ.ทบ. กัมพูชา ประกาศบนโต๊ะเจรจา ยืนยัน ไม่ถอนกำลัง เพราะทหารเขารออยู่มาตั้งแต่ก่อน มี MOU 2543
พร้อมออกแถลงการณ์ 4 ข้อ โดยข้อ 4 ประกาศไม่ถอนทหาร ด้วยเหตุผลดังกล่าว และตบท้ายว่า ผบ.ทบ.2 ชาติได้ตกลง และยอมรับ ในข้อตกลงนี้แล้ว ที่เสมือนเป็นการมัดมือชก ว่า ไทยรับรอง การประกาศดินแดนของเขมร
ซึ่งกองทัพบกไทย ออก แถลงการณ์ ตามมา ซึ่ง ก็ควรจะบอกว่า นั่นไม่ใช่ แถลงการณ์ร่วม แต่เป็นแถลงฝ่ายเดียวของเขมร แต่กลับไม่ย้ำ ในเรื่องดินแดนไทย แต่อย่างใด
แม้ทหารเขมร จะยอมถอย ก็เฉพาะออกจากจุดปะทะ 28 พ.ค. ก็ตาม แต่ กำลังทหารที่ล้ำแดนไทย นั้น ยังไม่ยอมถอนกำลังออกไป
จากนั้น ทั้ง สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯ รวมทั้ง นายกฯฮุน มาเนต และ รมว.กลาโหมดาหน้าออกมายืนยันว่า เป็นดินแดนเขมร และสั่งระดมกำลังทหาร และ อาวุธยุทโธปกรณ์เต็มอัตราศึก เข้ามาเสริม
ที่สมเด็จฮุนเซน ขู่จะยิงเครื่องบินรบไทย คาดว่า อ้างถึง จรวด KS-1C และเขมรยังมี ปืนใหญ่อัตตาจร ล้อยาง PCL- 09 ปืน 155 มม. “SH-1” ที่เพิ่งซี้อมาจากจีน ระยะยิงไกล 27-53 กม. อีกด้วย
สมเด็จฮุนเซน ประกาศว่า พื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกต” เป็นของกัมพูชามานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนข้อตกลงปารีส ก่อนบันทึกความเข้าใจปี 2000 UNTAC อาจให้การเป็นพยานได้
ฮุนเซน ทำตามแผน คือ ท้า ไทย ขึ้นศาลโลก ที่กรุงเฮก อีกครั้ง หากยังไม่ชัดเจน กัมพูชาและไทยสามารถตกลงกันนำเรื่องนี้พร้อมแผนที่อย่างเป็นทางการที่ ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ (ไม่ใช่แผนที่ที่โจรวาดขึ้น เพื่อขโมยที่ดิน) ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรุงเฮก เพื่อยุติเรื่องนี้
พร้อม โชว์ ภาพถ่ายที่ถ่ายกับ มาดาม บุนรานี ภรรยา ถ่ายไว้เมื่อกว่า 15 ปีที่แล้ว เป็นหลักฐานชัดเจน เพราะสวมเครื่องแบบทหารไปถ่ายรูปในดินแดนไทย หรือลาว ในบริเวณนั้นได้
ดังนั้น กัมพูชาไม่สามารถถอนทหารออกจากดินแดนของตนเองตามคำขอของฝ่ายไทยได้
(ซึ่งความจริงแล้ว ศาลาตรีมุข นั้นใครก็มาถ่ายรูปได้ เพราะเป็นพื้นที่รอยต่อ ไทย-ลาว-เขมร แค่ฝ่ายไทย ออกงบฯในการสร้าง ทหารไทย ต้องแบก ปูนทราย ไม้ ไปสร้าง เท่านั้น เพื่อให้เป็นจุดนัดพบกันของทหาร 3 ชาติ เมื่อลาดตระเวน มานัดเจอกัน หรือ พัฒนาสัมพันธ์ และใกล้ฝั่งเขมร มากกว่าชาวเขมร เดินทางถ่ายรูป ได้ปกติ จะสวมชุดอะไร ก็ได้ ไม่มีใครห้าม เพราะ ไม่ใช่พื้นที่ประเทศไทย)
ก่อนที่ ทางการเขมร จะบล็อกผู้ใช้งานที่ใช้อินเตอร์เนตจากประเทศไทย เข้าดูเพจของสมเด็จฮุนเซน ทำให้ผู้ที่ใช้อินเตอร์เนตในประเทศไทยไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะฮุนเซน ระบุว่า คนไทยเข้าไปป่วนเพจของตนเอง
เหตุที่ สมเด็จฮุนเซน ประกาศเช่นนี้ เพราะเขมร ยึด สามเหลี่ยมมรกต สำเร็จแล้ว ตั้งฐานที่มั่นทางทหารแล้ว และยังจัดตั้ง Morakot Forces ขึ้นมาดูแล ยุทธบริเวณ มรกตนี้ เพิ่มเติมจาก ที่มีกำลังทหาร ใน 3 ยุทธบริเวณ ในการดูแล ปราสาทเขาพระวิหาร และพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกับไทย 4.6 ตร.กม. ขณะที่ ฝ่ายไทย นั้น กกล.สุรนารี มี ฉก.1 และ ฉก.2 ดูแลพื้นที่
วันนี้ มีคำตอบแล้วว่า สมเด็จฮุนเซน ที่เป็นทหารเก่า ผ่านมาสมรภูมิรบมาแล้ว วางแผนยึด“สามเหลี่ยมมรกต” โดยลากเส้น พื้นที่ เข้ามาถึง ดินแดนไทย
นี่เป็นการต่อจิ๊กซอว์ ให้เห็นภาพแล้วว่า ที่ทหารเขมร เคลื่อนไหว มาตลอด หลายเดือนนั้นเป้าหมายคือ ยึดสามเหลี่ยมมรกต
แต่ปัญหาคือ ล้ำเข้ามาในเขตไทย ด้วย
ตอนนี้ ทหารไทย ต้องอ่านเกม ต่อจิ๊กซอว์ ภาพเต็ม ให้ได้ ก่อนว่า จากนี้ ทหารเขมร จะทำอะไรต่อ ยึดจุดไหน ด้วยวิธีเดิมๆ ที่ทำมาตลอดกว่า ครึ่งศตวรรษ จนยึด ปราสาทเขาพระวิหาร ไปได้ในปี2505 วันที่ทหารไทย ต้องถอนธงไทย เดินลงจาก ปราสาทเขาพระวิหาร
แผนของเขมร คือ ให้มีการสู้รบและก็ฟ้องศาลโลก เหมือนการสู้รบ ปี2554 ที่ทหารเขมรเปิดฉากยิงใส่ทหารไทย ที่ไปสร้างถนน ขึ้นวัดแก้วฯ แข่งกับเขมร หลังจากที่เตือน ให้ทหารเขมรหยุดสร้างถนน แล้วไม่ยอมหยุด ทหารไทย จึงเร่งสร้างถนน ขึ้นจากฝั่งไทยบ้าง ทหารเขมรก็ยิงใส่ ก่อนที่จะทำให้เกิดการสู้รบยิงกันตลอดแนว
จากนั้น เม.ย.ปี 2554 เขมร ก็หมายจะยึดพื้นที่ โดยรอบ ของปราสาท ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ด้วยวิธีเดิม นำเรื่องฟ้องศาลโลก อีก แต่ยังดีที่ ศาล ให้อยู่ร่วมกัน พัฒนาพื้นที่ด้วยกัน และ กำหนดพื้นที่ปลอดทหาร ใช้กำลัง ตชด. แทน แต่ก็มีรายงานว่า เอาทหารเขมร มาแต่งชุดตำรวจ มาอยู่ ก็มี จากนั้นรัฐบาลไทย ก็ประกาศ ไม่รับอำนาจศาลโลก อีกต่อไป
มาครั้งนี้ ทหารเขมร ยั่วยุ ทหารไทย มานานหลายเดือน แต่ทหารไทย อดทนสูง ทหารเขมรจึงใช้วิธีการ ล้ำแดนไทย และ รู้ว่า ทหารไทย ต้องมาใช้กำลังทหารกดดัน จนเกิดเหตุปะทะ 28 พ.ค.2568 นั่นเอง
ฝ่ายเขมร เล่นใหญ่ เรียกร้องเจรจา ทันที แม้จะเป็นการปะทะเล็กๆ จนทำให้ ผบ.ทบ. 2 ชาติมาขึ้นโต๊ะเจรจา
เขมรทำตามแผน ไม่ยอมถอนทหาร และออกแถลงการณ์ยืนยัน
ก่อนที่สมเด็จฮุนเซน ออกมาท้า ให้ ขึ้นศาลโลก อีกครั้ง
รอดูการตัดสินใจของ รัฐบาล นายกฯ และ รมว.กลาโหม และ ผู้นำกองทัพ ว่า จะปล่อยไปแบบนี้ ให้ทหารเขมร ยึดดินแดนไทย ต่อไป ปล่อยนานไป เขมรยิงเสริมแกร่ง การใช้กำลังทหาร เข้าตี เพื่อยึดคืน จึงไม่ง่าย และอาจตามมาซึ่งการสู้รบอีกครั้ง
หลังปะทะ 2 วันติด ช่วงเช้า ทหารเขมร รัวยิงปืน ราว 20 นัด มาทางฝั่งทหารไทย ราวกับต้องการ เช็คว่า ทหารไทย ถอยจากแนว ไปหรือยัง ซึ่งทหารไทยใช้ความอดทนอย่างมาก ในการที่จะไม่ยิงตอบโต้ไปเพราะวันแรก รอการเจรจาในช่วงบ่ายของผบ.ทบ. 2 ชาติ ส่วนวันรุ่งขึ้น ก็มีข้อตกลงจากที่ประชุมฯ แล้ว เพราะทหารไทยมีวินัย
หากพูดตามข้อเท็จจริง พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต นั้น จะใช่พื้นที่ของไทยหรือไม่ก็ตาม เพราะเดิมเป็น พื้นที่ร่วมในการประสานงานของทหาร 3 ชาติ ที่ลาดตระเวน และพัฒนาสัมพันธ์ มานัดเจอกัน ที่ศาลาตรีมุข แล้วก็แยกย้าย กลับดินแดนของตนเอง ทหารเขมรจะยึด ก็ยึดไป
แต่ ดินแดนไทย 150 เมตร ที่ล้ำเข้ามา แม้จะเป็นป่าเขา แต่ทหารไทยใช้เลือดและชีวิตรักษาไว้จนมาถึงรุ่นเรา เรามีหน้าที่ต้องรักษาไว้ ต่อให้แค่ ตารางนิ้วเดียว ก็ตาม
ทหารเขมร ต้องถอนกำลังออกไป !!”
3. ในฐานะคนไทย อยากบอกฮุนเซน และพวก
ทั้งพวกที่อยู่ในรัฐบาลกัมพูชา และพวกที่อยู่ในรัฐบาลไทย
ถ้าอยากได้แผ่นดินไทยมากนัก ก็ขอให้มารบเอาด้วยตนเอง
คนไทยใจเขมรรายใด ทำตัวเป็นพระยาละแวกกลับชาติมาเกิด ทรยศต่ออำนาจหน้าที่อันมีต่อราชอาณาจักรไทย ฝักใฝ่เข้าร่วมกับผลประโยชน์ของฮุนเซน บังอาจกำเริบเสิบสานถึงขั้นจะยึดครองเอาแผ่นดินไทย
ถ้าเป็นสมัยโบราณ จะต้องลงโทษตัดคอ เสียบหัวประจาน ให้แร้งกากิน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี