ในข้อเท็จจริงแล้ว โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป(ที่ต้องใช้เงินถึง 560,000 ล้านบาท) นั้นถือว่ามิได้รับการสนับสนุนจากประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศแต่อย่างใด เพราะจากผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ พรรคเพื่อไทยได้คะแนนนิยมไปเพียง 10 ล้านเสียงกว่าๆ (หายไปสี่ล้านกว่าเสียงจากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2554) และที่นั่งในสภาผู้แทนที่เคยได้ ก็หายไปประมาณ 100 ที่นั่งส่งผลให้พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นที่ 2 รองจากพรรคก้าวไกล แต่ด้วยกฎเกณฑ์มหัศจรรย์แบบไทยๆ เรา (ที่ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน) พรรคเพื่อไทยจึงสามารถกลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ แล้วถีบส่งพรรคก้าวไกลให้ไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน หลังจากนั้น พรรคเพื่อไทยจึงเอาเรื่องโครงการเป๋าตังกลับมาปัดฝุ่น แล้วอ้างว่า เพื่อทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน แม้ว่าประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่เขาไม่ได้เอาด้วยดังกล่าว
เมื่อพรรคเพื่อไทยก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล ชาวไทยและชาวโลกต่างก็คิด และก็คาดหมายกันว่า พรรคเพื่อไทยคงมีเอกสารข้อมูลพร้อมด้วยหลักการ เหตุและผล และความถูกต้องชอบธรรมที่จะดำเนินนโยบายต่างๆ ในกรอบกฎหมายแล้วเสร็จได้ทันที
แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยนั้นแท้จริงแล้วมิได้มีอะไรในมือ หรือแม้กระทั่งในใจหรือความคิดที่เป็นรูปเป็นร่างแต่อย่างใดเลย กลับต้องใช้ให้ข้าราชการพลเรือนมาเริ่มช่วยคิดช่วยทำ และวางแผนงาน ความคิดอ่านก็ต้องถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามข้อท้วงติง ไปตามความเกรงกลัวต่อตัวบทกฎหมาย และความเกรงกลัวต่อคุกตาราง
ก็เท่ากับว่า นโยบายต่างๆ ที่นำเสนอกันมาตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้ง ล้วนเป็นการดำเนินการแบบเสือมือเปล่า ดุ่มๆ ซุ่มไปข้างหน้า เผื่อฟลุคชนะค่อยหาวิธีทำ เรียกว่า สัญญาไว้ก่อน แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า
ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยยังเริ่มต้นด้วยการโฆษณาชวนเชื่อไว้ว่า โครงการดิจิทัล วอลเล็ต นี้ จะเป็นหัวใจสำคัญในการกระตุ้นและเพิ่มขยายขนาดเศรษฐกิจของไทยแต่มาบัดนี้กลับกลายเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ว่า จะช่วยเหลือคนยากคนจน เสมือนเป็นการสับปลับสิ้นดี
การหันเหคำมั่นสัญญา เปลี่ยนแปลงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้จากทิศทางหนึ่ง ไปยังอีกทิศทางหนึ่งเช่นนี้ จึงมีคำถามตามมาว่า แล้วคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น และศาลรัฐธรรมนูญ จะว่าอย่างไร ต่อการที่พรรคการเมืองได้มีคำมั่นสัญญา ที่ไม่มีการเตรียมการใดๆ เอาไว้ทั้งสิ้น เป็นเพียงเรื่องสัญญาลมๆ แล้งๆ แล้วค่อยมาทำทีหลังแบบสุกเอาเผากิน
ที่สอบตกมาแต่ต้น ก็คือการที่ไม่สามารถชี้แจงได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะไปเอาเงิน 560,000 ล้านบาท มาจากไหน? และจะแก้ต่างในเรื่องการจัดหางบประมาณนอกกฎเกณฑ์งบประมาณ และนอกอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาได้อย่างไร?
ซึ่งก็ตอบไม่เคยได้ จนกระทั่งล่าสุด ก็บอกกล่าวว่าจะใช้งบประมาณประจำปีหลายๆ ปี เพื่อให้อยู่ในวินัยงบประมาณ แต่จะไปตัดโน่นมาโปะนี่อย่างไรก็ยังไม่มีความชัดเจนและแน่นอน แล้วจะกระทำได้จริงหรือ โดยไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการพัฒนา การบริการต่างๆ ของรัฐ?
และถ้าจะต้องกระทำหลายๆ ปี ก็มิใช่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ดังที่แอบอ้างและโฆษณาชวนเชื่อไว้ ซึ่งหากว่าจะเปลี่ยนข้ออ้างเป็นการช่วยเหลือผู้ยากไร้ยากจนก็แล้วใหญ่ เพราะหากอยากจะช่วยจริงๆ แล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องไปใช้ดิจิทัล วอลเล็ตเพราะไทยเรานั้นมีงบประมาณ และมีหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งธนาคารแห่งรัฐทำการอยู่มากมายแล้ว
หนึ่งในความยิ่งใหญ่ของผู้นำประเทศก็คือ เมื่อตระหนักรู้ว่าพลาด ดึงดันไปไม่ได้ ก็ต้องยอมรับความผิดพลาด และถอยออกมาตั้งหลักใหม่ทบทวนเรื่องราวทั้งหมด โดยเฉพาะการพูดจาให้ชัดถ้อยชัดคำว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือจะช่วยพยุง และยกระดับชีวิตของคนยากคนจน เอาให้แน่
อีกทั้งการจะกระตุ้นเศรษฐกิจก็มีหลายวิธีที่น่าจะดีกว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็มักจะมุ่งไปที่การลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ การร่วมมือกับภาคเอกชนในการสร้างงานและจ้างงาน ซึ่งเป็นเรื่องระยะปานกลาง และระยะยาวที่มีความยั่งยืน ต่างกับการใช้โครงการประชานิยมแบบโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ที่เป็นเพียงเรื่องประเดี๋ยวประด๋าว ฟู่ฟ่าชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็จืดจางหายไป เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัว และไม่ได้ขยายตัวอย่างจริงจัง
เมื่อ คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เติบโตมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง ก็น่าจะใช้ประสบการณ์นี้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย (Housing Development) เพื่อให้คนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า และทุกวัย ให้มีที่อยู่เป็นของตนเอง ซึ่งการพัฒนาที่อยู่อาศัยนี้จะสร้างงานอย่างมหาศาล และพัฒนาเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางและยั่งยืน
ก็ขออนุญาตฝากคำแนะนำให้ตัวนายกรัฐมนตรีด้วยความปรารถนาดี โดยไม่คิดค่าคำปรึกษา (Consultant fee) แต่อย่างใด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี