ในท่ามกลางคาวเลือดและควันปืนจากสงครามรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส-ปาเลสไตน์ในบางครั้งเราได้เสพข่าว “วีรบุรุษ วีรสตรี” ที่ช่วยชีวิตผู้คนให้รอดพ้นจากนาทีวิกฤตผู้ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ในเมืองไทยเราได้ชื่นชมยินดีกับ สตรีเหล็กผู้แกร่งกล้าที่แรงงานไทย เรียก “พี่แจ่ม” หญิงไทยใจกล้า ที่ขับรถฝ่ากระสุนเข้าไปช่วยแรงงานไทยสองคนให้รอดพ้นจากอันตราย ที่อาจถึงตายเพราะคมกระสุนของคู่สงครามคือฮามาสและอิสราเอลได้
หลายครั้งเราก็พบว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ วีรสตรีที่มีผู้นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง และบางครั้งเรื่องราวที่นำมาเล่าขาน ก็ได้ผ่านการปรุงแต่งใส่สีตีไข่ลงไปบ้างเพื่อเพิ่มความสนใจ หรือเพื่อเป็นประโยชน์ แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเมื่อในเมืองไทยเรามี “พี่แจ่ม” หญิงไทยใจกล้า แล้วทำไม ประเทศฟิลิปปินส์ ก็มีนางฟ้าผู้มีปฏิภาณไหวพริบดีที่รักษาชีวิตตัวเองและชีวิตนายจ้างให้รอดพ้นจากการสังหารของกลุ่มฮามาสมาด้วยไม่ได้
หนังสือพิมพ์เดอะไทม์ ออฟ อิสราเอล รายงานข่าว เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พาดหัวว่า “หญิงชาวฟิลิปปินส์ผู้รับจ้างดูแลคนชรา รักษาชีวิตนายจ้างผู้ชรารอดพ้นจากความตาย” เดอะไทม์ ออฟ อิสราเอล โปรยข่าวว่า หญิงสาวชาวฟิลิปปินส์ผู้ดูแลคนชราให้เงินแก่กลุ่มฮามาส เพื่อรักษาชีวิตนายจ้างและตัวเองไว้ได้
หนังสือพิมพ์ของอิสราเอล ให้รายละเอียดว่า คามิล่า เจซาลวา เปิดกระเป๋าให้เห็นเงิน 370 ดอลลาร์สหรัฐ ที่เธอเตรียมไว้สำหรับเดินทางกลับบ้านอีก 2 วันข้างหน้าให้กลุ่มฮามาสดู ด้วยปฏิภาณไหวพริบดี ผู้ดูแลคนชรา ลูกจ้างชาวฟิลิปปินส์ก็รักษาชีวิตนายจ้าง นางเฮเฟตซ์ วัย 95 ปี และชีวิตเธอเองไว้ได้ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม โดยการให้เงินกลุ่มฮามาสที่บุกเข้าไปในบ้าน ซึ่งอยู่ใกล้ฉนวนกาซาของพวกเขา เงินซึ่งเธอเก็บสะสมไว้สำหรับเดินทางกลับบ้านประเทศฟิลิปปินส์อีกสองวันหลังจากนั้น (น่าจะเตรียมการเดินทางวันที่ 9 ตุลาคม)...
...“ฉันเปิดกระเป๋าตังค์แล้วบอกพวกเขาว่า ฉันมีเงินแค่นี้ 1,500 Nis (320$) เอาไปทั้งหมดนั่นเลย ได้โปรดไว้ชีวิตฉันและนายจ้างผู้ชรา อย่าได้ฆ่าพวกเราเลย” หญิงชาวฟิลิปปินส์ ผู้ดูแลคนชรา คามิลี่ เจซาลวา บอกกับ ยาเนตนิวส์ไซด์ “ฉันยื่นตั๋วเครื่องบินให้พวกเขาดู แล้วขอร้องว่าโปรดอย่าเอามันไปเลย”
ผู้ก่อการร้าย ถามว่า เงินในบ้านอยู่ที่ไหน? แล้วผู้ก่อการร้ายเดินดูรอบบ้าน ซึ่งอยู่ในคิบบุตซ์ นิริม(คิบบุตซ์ คือ นิคมเกษตร) โดยมี เจซาลวา วัย 31 ปี เดินตามหลัง พวกเขายึดโทรศัพท์ของเธอ แต่ภายหลังทิ้งมันไว้ ...
...“มันเป็นอภินิหารที่ฉันยังมีชีวิตรอดอยู่ได้”เธอกล่าว และเสริมว่า “ฉันบอกแม่ให้ส่งรูปลูกชายของฉันมาให้ดู ฉันมีความรู้สึกว่า ต้องตายในวันนั้น”เธอไม่ได้เห็นหน้าลูกชายวัยเจ็ดขวบมาเกือบสองปีแล้ว เจซาลวา ขังตัวเอง อยู่ในห้องนิรภัยกับนายจ้างหลายชั่วโมงจนกระทั่งมีคนมาช่วย
จากประสบการณ์เคยทำงานที่ดูไบ เธอรู้ว่า คนร้ายพวกนี้พูดจาก้าวร้าวมาก ในช่วงแรกที่อยู่นอกบ้านพวกเขาพูดกันเป็นภาษาอาหรับ และต่อมาคนร้ายบุกเข้ามาในบ้าน ในนาทีนั้นเธอพบว่ากำลังประจันหน้ากับผู้ก่อการร้าย
“พวกเขามากันหลายคนและฉันแน่ใจว่าพวกเขาต้องฆ่าฉัน” เธอจำได้ว่าคิดอย่างนั้น ฉันยืนขึ้นแล้วพูดกับชายคนหนึ่ง “ฮัลโล เซ่อร์” แล้วเขาถามฉันว่า “เงินอยู่ตรงไหน”
ถึงตอนนี้นายจ้างตื่นแล้ว และส่งเสียงทักท้วง แล้วชายผู้นั้นส่งเสียงตวาดสวนกลับไป“ฉันกลัวมาก และบอกเจ้านายว่า “โปรดอยู่เงียบๆ”ฉันมองหน้าเขาและพบว่าเขามีท่าทางฉุนเฉียว ฉันบอกเขาว่า “ท่านคะได้โปรดอย่าได้ทำอะไรเธอเลยเธอเป็นหญิงชราที่อาการเลอะเลือนไม่เข้าใจอะไรแล้ว”
หลังจากผู้ก่อการร้ายจากไป หญิงสองคนนั่งกอดกัน จนกระทั่งทหารอิสราเอลมาถึง เจซาลวายกเลิกการเดินทางกลับฟิลิปปินส์ เพื่อได้อยู่ดูแลหญิงชราวัย 95 ปีต่อไป
“ฉันรู้สึกว่าทิ้งเธอไปไม่ได้ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เธอไว้ใจฉันและฉันไว้ใจเธอ” เจซาลวากล่าวและเสริมว่า เธออาจจะเลื่อนการเดินทางกลับบ้านไปอีกหนึ่งเดือน
เออเฟตซ์ ยาเอล อาเรียลี วัย 74 ปี ลูกสาวของ เฮเฟตซ์ ซึ่งอาศัยในคิบบุตซ์ ชาอาร์ ฮาโกลานทางภาคเหนือของอิสราเอลในจอร์แดน วอลเลย์ กล่าวว่า ผู้ดูแลบริบาลแม่ของเธอโทรศัพท์ไปหาในตอนเช้าแห่งความตาย “เธอเครียด และหวาดกลัวมาก ฉันขอเรียกเธอว่า#นางฟ้าเจซาลวา ผู้รักษาชีวิตของเธอกับแม่ฉันให้รอดมาได้” อาเรียลี กล่าวเสริมว่ามารดาของเธออาศัยอยู่ในคิบบุตซ์ นิริม มาเจ็ดสิบปีแล้ว
หลังจากที่ข่าวนี้ถูกแพร่หลายออกไป ปรากฏว่ามีคนคอมเมนท์และแชร์เป็นไวรัล ชาวอิสราเอลจำนวนมากเรียกเธอว่านางฟ้า และรณรงค์ให้บริจาคเงินสมทบทุนให้นางฟ้าเจซาลวา ได้ใช้ชีวิตในประเทศอิสราเอลอย่างสุขสบาย
เดอะไทม์ ออฟ อิสราเอล ไม่ได้รายงานว่า เธอได้เงินบริจาค หรือ นายจ้างตบรางวัลเธอมากน้อยเพียงไหน
แต่พิเคราะห์จากการนำเสนอบทสัมภาษณ์ของหญิงชาวฟิลิปปินส์ ผู้รับจ้างดูแลสตรีชราชาวอิสราเอลแล้ว #ข่าวนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าฮามาสบุกเข้าไปในคิบบุตซ์ นิริม เพื่อต้องการเงินเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มุ่งหมายฆ่าทำลายล้างผู้หญิงเด็กเล็กและคนชราดังที่เป็นข่าวทั่วไป
หรือว่าฮามาส กลุ่มที่เผชิญหน้ากับหญิงฟิลิปปินส์ผู้ดูแลคนชราและขู่กรรโชกเงินเป็นฮามาสปลอม เพราะตามข่าวของนิวยอร์กไทม์กลุ่มฮามาสกว่าสองพันคนที่บุกเข้าไปฆ่าทำลายล้างในดินแดนอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ฆ่าทำลายล้างทุกคนที่พบหน้า หรือไม่ก็จับเป็นตัวประกัน ที่สำคัญนิวยอร์กไทม์รายงานด้วยว่าฮามาสได้วางแผนเตรียมการล่วงหน้าอย่างรัดกุมและเป็นระบบระเบียบ แต่ฮามาสกลุ่มที่เผชิญหน้ากับผู้ดูแลคนชราชาวฟิลิปปินส์พอได้เงิน320 ดอลลาร์ หรือประมาณ 11,596 บาท แล้วจากไป ไม่ตบตีทำร้ายใคร แถมโทรศัพท์ที่ยึดไปก็กลับทิ้งไว้ให้หญิงชาวฟิลิปปินส์ใช้เรียกความช่วยเหลือได้อีก
หรือว่าจริงแล้วข่าวนี้ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อดึงดูดใจให้แรงงานต่างชาติที่กำลังจะกลับบ้านเปลี่ยนใจ ดังที่นายกฯเศรษฐาทวีสิน กล่าวว่านายจ้างชาวยิวเสนอขึ้นเงินเดือน เพิ่มค่าจ้างล่อใจให้แรงงานไทยทำงานรับจ้างในอิสราเอลต่อไป ถึงแม้จะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม
ขอย้ำว่าสองย่อหน้าสุดท้าย เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ใช่รายงานข่าวของเดอะไทม์ออฟอิสราเอลแต่อย่างใด
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี