การเจริญอานาปานสติขั้นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นตอนแรก ที่กำหนดรู้ปีติหายใจออก และกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า จะเป็นการเจริญกรรมฐานที่เข้าไปใกล้กับสิ่งที่เรียกว่าจิตมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเวทนานั้นคือเรื่องของการปรุงแต่งจิต คือเมื่อมีความสัมผัสเกิดขึ้นไม่ว่าจากกายหรือใจหรืออารมณ์ใดๆ ผลของสัมผัสนั้นก็จะกระทบต่อจิตเป็นเวทนา จึงกล่าวว่าเวทนาเป็นสิ่งปรุงแต่งจิต
ในขั้นนี้มีความละเอียดอ่อนมากขึ้น มายาภาพและสิ่งรบกวนทางกายจะเบาบางลง เช่น ความเมื่อยขบ เหน็บชาการรู้เห็นนิมิตจากภายนอก ไม่ว่าเป็นกลิ่น เป็นเสียง หรือเป็นแสง หรือเป็นความรู้สึกวูบๆ วาบๆ ที่กระทบต่อทางกายนั้นจะเลือนหายไป ทั้งด้วยความรู้เท่าทันว่าเป็นเพียงมายาภาพ ไม่ใช่ของจริง และทั้งด้วยการกำหนดแห่งอำนาจของจิตที่ทำลายมายาภาพนั้นให้หมดไป ก็เหมือนกับจับการกระทำผิดของเด็กได้แล้วแก้ไขเสีย เด็กก็จะไม่เกเรต่อไป
แต่เมื่อถึงขั้นเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นตอนแรกคือการกำหนดรู้ปีติซึ่งมีความละเอียดประณีตมากขึ้น เข้าไปใกล้กับสิ่งที่เรียกว่าจิต และ
กระทบกับสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือปรุงแต่งมากขึ้น มายาภาพในขั้นนี้ก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชเพื่อรบกวนการเจริญกรรมฐานตามธรรมดาธรรมชาติ ก็เหมือนกับเด็กเกเรอีกนั่นแหละ เป็นแต่ว่าเด็กเกเรในขั้นนี้เป็นเด็กชั้นมัธยมหรือชั้นเตรียมอุดมศึกษาไปแล้ว จึงมีความละเมียดละไมมากกว่าการเกเรของเด็กเล็กๆ
มายาภาพที่เกิดขึ้นก็มีส่วนไปปรุงแต่งจิตเหมือนกัน คือขัดขวางหรือทำตัวเป็นอุปสรรคในการกำหนดรู้ปีติของจิต ทำให้ไปหลงวอกแวกอยู่ข้างทางในเรื่องอื่น คือความหลอก ความลวง และมายาภาพนั้น
ลักษณะการหลอกลวงหรืออาจจะเรียกว่านิมิตในขั้นนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อมายาภาพหรือนิมิตเกิดขึ้นแล้วก็จะรบกวนการปฏิบัติภาระหน้าที่ของจิต และยิ่งเป็นมายาภาพที่คลาสสิกมากขึ้นมีลีลาน่าสนใจน่าติดใจมากขึ้น ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการเจริญกรรมฐานเป็นลำดับไป
ต้องเข้าใจว่ามายาภาพหรือที่เรียกว่านิมิตที่เกิดขึ้นในขั้นนี้จะไม่มีลักษณะน่าหวาดกลัว หวาดเสียวหรือน่าสยดสยองเหมือนมายาภาพที่เกิดขึ้นในขั้นเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นเรื่องหยาบ แต่ในขั้นนี้จะเป็นมายาภาพประเภททำให้ลุ่มหลงติดยึด เรียกว่าเป็นการหลอกลวงที่ประณีต มีชั้นมีเชิงมากกว่า
สิ่งที่เป็นนิมิตหลอกลวงนี้ท่านก็เรียกว่าเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งในการเจริญกรรมฐาน การที่ครูบาอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานตรวจสอบอารมณ์ของศิษย์ในการเจริญกรรมฐานก็ต้องตรวจสอบอารมณ์ลักษณะนี้ด้วย จะปล่อยข้ามไปไม่ได้เพราะเหมือนกับปล่อยให้จอมหลอกลวงที่มีชั้นเชิงสูงคอยหลอกหลอนการเจริญกรรมฐานของศิษย์อยู่
และผู้เป็นอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานก็ต้องเข้าใจและรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ประเภทนี้ว่ามีลักษณะอย่างไร มีอาการอย่างไร และให้ผลอย่างไร ตลอดจนความเสื่อมความดับของมันว่าเป็นอย่างไร
ลักษณะของมายาหรือนิมิตในขั้นนี้จะมีลักษณะเป็นแสงที่มีสีสันสวยงาม น่าเบิกบานสว่างไสวชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นความฟูใจ กระทั่งอาจสำคัญผิดคิดว่านี่คือผลของการปฏิบัติในขั้นสูงแล้ว กระทั่งอาจเข้าใจผิดคิดว่าได้เข้าถึงซึ่งกระแสแห่งพระอริยเจ้าแล้ว แสงลักษณะนี้นอกจากมีสีสันชนิดที่ไม่เคยเห็น คือมีลักษณะนอกเหนือจากแสงที่เราเคยเห็นจากสเปกตรัม หรือที่เคยเห็นโดยทั่วไปมีลักษณะที่อาจเข้าใจได้ว่าเป็นฉัพพรรณรังสีด้วยซ้ำไป จึงทำให้เกิดความพิสมัยในลักษณะของแสงและสีเหล่านั้น
มายาอีกชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นแสงหรือความสว่างที่ก่อให้เกิดความเบิกบานสำราญใจ มีความสุข มีความอิ่มใจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน จึงก่อเกิดเป็นอารมณ์ที่สำคัญผิดทำให้คิดไปได้ว่านี่ก็เป็นผลจากการเจริญกรรมฐานในขั้นสูง กระทั่งเข้าเขตแดนอริยวิหาร หรือวิหารธรรมแห่งพระอริยเจ้าไปแล้ว และก็ติดยึดหลงอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน
มายาในลักษณะเป็นภาพหรือเป็นกลิ่นก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะมายาที่มีลักษณะเป็นภาพ เช่น เห็นเป็นลูกแก้วมีแสงสว่างใสกระจ่าง หรือมีรังสีรัศมีงดงามทั้งภายในและภายนอกขยายตัวเติบใหญ่หรือหดเล็ก กระทั่งเคลื่อนไหวไปในอากาศได้ แม้ความสว่างก็เป็นความสว่างที่สว่างไสว ตรงกับภาษาที่ท่านเรียกว่าปภัสราหรือประภัสสรแต่ไม่ใช่ประภัสสรแท้ เพราะเป็นแค่มายาภาพ สิ่งที่เรียกว่าประภัสสรนั้นเป็นความสว่างไสวแท้ที่เกิดขึ้นเมื่อจิตเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าสัมมาสติและสัมมาสมาธิครบถ้วนแล้ว จิตมีความตั้งมั่นเป็นอุเบกขาในยามนั้นนั่นแหละอารมณ์กรรมฐานอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือความเป็นประภัสสรแห่งจิต
นอกจากลักษณะดังกล่าวมาแล้ว มายาภาพเหล่านี้ก็มีอาการหลากหลาย คือการเคลื่อนย้าย การขยายเล็กใหญ่การแปรแปลงสภาพต่างๆ ที่ล้วนทำให้หลงติดยึดหรือหลงผิดคิดว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแดนแห่งพระอริยะหรือได้อริยผลขั้นใดขั้นหนึ่ง แม้กระทั่งอาจหลงผิดคิดว่าสำเร็จความเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว
เหล่านั้นคืออาการที่เกิดขึ้น แต่เมื่อครูบาอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานตรวจสอบอารมณ์ของศิษย์ในการเจริญกรรมฐานพบมายาหรือนิมิตดังกล่าวก็ดี หรือผู้เจริญกรรมฐานสัมผัสรู้ด้วยตนเองก็ดี และเห็นความจริงของความเป็นนิมิตหรือความเป็นมายานั้นแล้ว ตัวมายานั้นก็จะละอายค่อยๆ สลายไป
โดยรวมก็คืออาการของมายาดังกล่าวจะมีลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับสลายไป เมื่อมีการเจริญกรรมฐานอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกด้วยความมั่นคงแน่วแน่ อาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของมายาและนิมิตทั้งหลายเหล่านี้ก็จะยิ่งไหลเร็วรี่เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย และจิตก็จะเบื่อหน่ายละวางออกไปจากนิมิตหรือมายานั้น จนกระทั่งสามารถเจริญปีติหรือกำหนดรู้ปีติได้โดยครบถ้วน รวมทั้งการกำหนดรู้เห็นความจริงของปีติว่ามีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดาเหมือนกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี