ขณะนี้ รัฐบาลกำลังชูการขับเคลื่อนและพัฒนา “ซอฟต์พาวเวอร์”
บางส่วน มีความสับสน โดยไปยกเอา “สินค้า” หรือ “โอท็อป” ขึ้นมากล่าวถึงในฐานะ “ซอฟต์พาวเวอร์”
แต่ในความเป็นจริง “ซอฟต์พาวเวอร์” ไม่ใช่ตัวสิ่งของตรงๆ แต่เป็นกระบวนการสื่อความหมาย ที่ทำให้สิ่งนั้นมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ดึงดูดใจให้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งอันรวมถึงเข้ามาซื้อ-เข้ามาเที่ยว-เข้ามาใช้สอย
ย้ำ การเข้ามาซื้อ มาเที่ยว เป็นแค่อาการตอบสนองอย่างหนึ่งต่อซอฟต์พาวเวอร์ แต่อาการพื้นฐานหลักคือ “หลงใหล” หลงรัก หลงเสน่ห์ จนให้การสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ
1.การส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทย เป็นสิ่งที่สมควรทำ
เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นอกจากนี้ ยังหนุนเสริมการสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีโลก
แต่นโยบายประเภทว่า “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์” หรือ One Family One Soft Power (OFOS) ดูจะแฉลบออกนอกความหมายที่แท้จริง เข้าใจว่าเจตนาน่าจะต้องการยกระดับทักษะคนไทย สู่การทำงานสร้างสรรค์ อันจะเพิ่มรายได้ของแต่ละครอบครัว ซึ่งก็ควรจะสื่อสารและทำงานด้านแรงงานจะตรงเป้าเข้าตรงจุดมากกว่า
ทำเป็นโยบายอัปสกิลฝีมือแรงงาน แบบที่กระทรวงแรงงานกำลังขับเคลื่อนอยู่ โดยให้เน้นทักษะสร้างสรรค์ ทั้งด้านทำอาหาร ท่องเที่ยว ฝึกมวยไทย วาดภาพศิลปะ ฝึกการแสดง ร้องเพลง ออกแบบ แฟชั่น ฯลฯ
แบบนี้ น่าจะเข้าใจง่าย ขับเคลื่อนได้เร็วกว่า
เว้นแต่จะกลัวพรรคร่วมได้ผลงานไป
2.คุณวินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ ให้แง่คิดเกี่ยวกับ “ซอฟต์พาวเวอร์” น่าสนใจมาก ระบุว่า
“ช่วงนี้ได้ยินคำว่า soft power ทุกวัน
เอะอะอะไรก็ soft power
พูดจนเฝือไปหมด
soft power คืออะไรกันแน่?
ในการเมืองโลก การบุกหรือครอบงำประเทศอื่นทำได้สองแบบ
แบบแรกคือใช้กำลัง (hard power) บุกเข้าไปเลย (เช่น สงครามอิรัก) หรือกดดันด้วยกำลังภายใน (เช่น สหรัฐฯสั่งให้แคนาดาจับลูกสาวประธานหัวเหว่ย) หรือขู่ที่จะแบน ฯลฯ
แบบที่สองคือ “โน้มน้าวใจ” ให้เปลี่ยน ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า soft power
พวก NGO และองค์กรนานาชาติบางแห่งก็เป็นเครื่องมือของ soft power ใน geopolitics ทำหน้าที่ “เทศน์” ให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเปลี่ยนไปในแนวทางที่ต้องการ เช่น เรียกร้องให้เป็นประชาธิปไตย เรียกร้องให้มี human rights หรือค่านิยมบางอย่าง บางครั้งก็ส่งทูตไปกินเลี้ยงกับบางพรรคการเมือง
ถ้าอ่านข่าวแบบวิเคราะห์ ก็จะรู้ว่าพวกนี้ก็คือ soft power ทางการเมืองโลก
Joseph Nye มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คนเขียนเรื่องเกี่ยวกับ soft power เป็นคนแรกๆ อธิบายว่า “soft power ก็คือโฆษณาชวนเชื่อที่ดีที่สุดที่ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ”
เอาละ ก็มาถึงเรื่อง soft power ที่คนบ้านเรากำลังพูดกัน คือ soft power ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
เครื่องมือสำคัญก็ได้แก่ศิลปะด้านต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ ดนตรี หนังสือ มังงะ เสื้อผ้า อาหาร เป็นต้น
สหรัฐฯเป็นเจ้าพ่อในเรื่องส่งออก soft power ด้านภาพยนตร์ นำทีมโดยฮอลลีวู้ด มันล้างสมองคนได้ เกาหลีใต้เป็นอีกชาติหนึ่งที่ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ ภาพยนตร์เกาหลีมีความหลากหลาย และสามารถรวมภาพยนตร์เข้ากับวัฒนธรรมเกาหลีอย่างกลมกลืน กระตุ้นให้โลกเกิดกระแสคลั่งวัฒนธรรมเกาหลี ไปไกลถึงขนาดที่คนต่างชาติอยากเรียนภาษาเกาหลี
ความสำเร็จของเกาหลีใต้เป็นกรณีศึกษาที่ดี มันเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่คิดวางแผนมาตั้งแต่ 30 ปีก่อน คือทศวรรษ 1990 บูรณาการทุกหน่วยงาน
เราเรียนวิธีทำจากเขาได้ เพราะเราก็มีของดีมากมายเช่นกัน อาจมากกว่าเกาหลีด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ดูเหมือนเราพยายามหาคำตอบก่อนตั้งโจทย์ เราพูดถึงรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ช็อกมินต์ ฯลฯ โดยยังไม่รู้เลยว่าเราจะทำ soft power ไปทำไม หรือแค่ไหน
นี่ก็คือคิดคำตอบก่อนตั้งโจทย์
เหมือนเจ้าของบ้านยังไม่ได้บรี๊ฟ สถาปนิกก็ออกแบบให้เสร็จแล้วว่ามี 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ
soft power ของประเทศเป็นเรื่องใหญ่ เราควรตั้งโจทย์ให้ชัดเจนก่อนว่า เราต้องการอะไร ตั้งเป้าแล้วค่อยมาดูว่า เราต้องทำอะไรบ้าง ใช้หน่วยงานไหนบ้าง
ต้องทำกี่ขั้น กี่ปี
ถ้าเราต้องการให้คนต่างชาติสนใจเมืองไทยแบบยั่งยืน (ระดับที่เขาอยากเรียนภาษาไทย) เราอาจต้องทำมากกว่าคิดหาสินค้า และเป้าหมายก็ควรไปไกลกว่าเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยว (กี่รัฐบาลๆ ก็คิดแต่จะเพิ่มนักท่องเที่ยว โดยไม่สนใจว่ามันเพิ่มค่าครองชีพของประชาชนด้วย)
ต้มยำกุ้งและมวยไทยก็ใช่ แต่เรามีมากกว่านั้น
เรามีเรื่องราวมากมาย เรามีประวัติศาสตร์ เรามีศิลปะ เรามีวรรณกรรม หนังสือหลายเล่มของเราที่คนไทยไม่อ่าน ไปดังที่ยุโรป เช่น งานของ แดนอรัญ แสงทอง (เขาได้รับรางวัล Chevalier de l’Ordre des Arts et des Lettres จากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศฝรั่งเศสด้วย)
หนังหลายเรื่องของเราก็ไปกวาดรางวัลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์
พูดง่ายๆ คือมีคนต่างชาติที่สนใจอยากเสพอาหารสมองจากไทยนอกเหนือจากอาหารท้อง เช่น ต้มยำกุ้ง
แต่เท่าที่กวาดตามองมาหลายปี ยังไม่เห็นนโยบายรัฐที่คิดแปลวรรณกรรมไทยส่งออกเลย มีแต่สำนักพิมพ์เอกชนทำกันเองไปตามมีตามเกิด
ถ้าเราไม่รวมงานศิลปะแขนงนี้เข้าไปในแผน มันจะเป็น soft power ที่สมบูรณ์ได้อย่างไร
ผมได้รับ feedback จากคนต่างชาติหลายคน หลังอ่านนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของผมที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ และจำหน่ายในวงแคบๆ ว่าพวกเขาสนใจและอยากรู้ประวัติศาสตร์เราเพิ่มขึ้น (แต่ เอ๊ะ! เราตัดวิชาประวัติศาสตร์ออกไปแล้วนี่นา)
บ้านเรายังมีอีกหลายพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เป็น soft power ได้
ระวังอย่ามองทุกอย่างเป็นเงินๆๆ
หน้าที่ของ soft power ของชาติก็คือ “สะกดจิต” คนชาติอื่นให้หันมาสนใจประเทศเราในด้านบวก ไม่จำเป็นต้องเป็นผลกำไรที่เป็นตัวเงินเสมอไป แค่ทำให้เขามีภาพบวกกับเรา ก็คุ้มแล้ว
เพราะยังจำได้ว่าเมื่อปี 2561 รัฐมนตรีท่องเที่ยวของประเทศแกมเบียประกาศต่อชาวโลกว่า หากต้องการเที่ยว เซ็กซ์ ทัวร์ ให้ไปเมืองไทย
ตอนนี้เพิ่มกัญชามาอีกหนึ่ง” - วินทร์ เลียววาริณ
3.ขอย้ำว่า หัวใจสำคัญของ “ซอฟต์พาวเวอร์” คือ กระบวนการสื่อความหมาย ที่ทำให้สิ่งนั้นๆ มีเสน่ห์ชวนหลงใหล ดึงดูดใจ ทำให้คนหลงรัก หลงเสน่ห์ และให้การสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ เช่น การซื้อ การมาเที่ยว การมาขอเป็นส่วนหนึ่ง การช่วยปกป้อง ฯลฯ
“ซอฟต์พาวเวอร์” ไม่ใช่ตัวสิ่งของตรงๆ
และ “ซอฟต์พาวเวอร์” ไม่จำเป็นต้องมัวเถียงกันว่า อันนี้คือไทยแท้หรือไม่
คิดง่ายๆ ฟุตบอลสเปน ฟุตบอลเยอรมัน ฟุตบอลฝรั่งเศส ซอคเกอร์เมเจอร์ลีกสหรัฐ หรือแม้แต่พรีเมียร์ลีกอังกฤษ จุดขายในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นต้นตำรับฟุตบอล แต่เขาแข่งกันสร้างเสน่ห์อันชวนหลงใหลของตนเองแต่ละลีก ด้วยปัจจัยและเรื่องราวอื่นๆ เป็นต้น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี