พระมหาสาที่สึกไปมีครอบครัวแล้วไม่เป็นที่สนใจของทางราชการ แต่พระมหาโตนั้นต่างกันเพราะมีเชื้อพระวงศ์ และมีผู้คนยอมรับนับถือมาก แม้เป็นพระสงฆ์ก็เรืองวิทยาคม จึงไว้ใจไม่ได้ ดังนั้นทางราชการจึงออกหาล่าตัวมหาโตไม่หยุดไม่หย่อน ถึงขนาดมีหมายสั่งให้หัวเมืองทั้งหลายตามตัวมหาโตมาถวายแต่ก็หาไม่พบ จนกระทั่งสิ้นรัชกาลที่ 3
เป็นที่น่าอัศจรรย์เพียงใด ขรัวโตหรือมหาโตที่ผู้คนนับถือมากมายและสัญจรเดินทางไม่หยุดไม่หย่อน แต่ตามตัวไม่ได้หาตัวไม่พบ
ในระหว่างการออกธุดงค์ไปยังภาคเหนือหลายพื้นที่เป็นเวลาหลายปี มหาโตได้เก็บอิฐเก่า กระเบื้องเก่า และพระเก่าทั้งที่แตกหักและไม่แตกหักจำนวนมากสะสมไว้ แต่น่าจะเป็นเรื่องฝากชาวบ้านหรือลูกศิษย์ไว้เป็นจุดๆ เพราะมวลสารเหล่านี้เป็นจำนวนมากย่อมยากลำบากต่อการแบกขนไปทุกหนทุกแห่ง และมวลสารที่เก็บสะสมไว้จากทั่วสารทิศในช่วงนี้นั่นแหละ ในภายหลังก็ได้กลายเป็นมวลสารศักดิ์สิทธิ์ในการทำหรือสร้างพระสมเด็จอันเลื่องชื่อลือชาของประเทศไทย
ว่ากันว่าในระหว่างธุดงค์ไปยังภาคเหนือสุดไม่แน่ว่าจะที่วัดเจดีย์หลวงหรือวัดแม่เจดีย์ ขรัวโตก็ได้พบตำราคาถาชินบัญชรอีกฉบับหนึ่ง ดังนั้นจึงกลายเป็นตำราคาถาชินบัญชร 3 ฉบับ มีเนื้อความตรงหรือใกล้กันอย่างยิ่ง ทั้งฉบับที่ได้มาจากภาคใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือ
ดังนั้นการที่บางท่านกล่าวอ้างว่าคาถาชินบัญชรเป็นบทคาถาที่มาจากประเทศศรีลังกา ตั้งแต่ยุคที่มีการไปเชิญพระพุทธศาสนามาจากศรีลังกานั้น เห็นจะแย้งกับความเป็นจริงที่ว่าตำราคาถาชินบัญชรนั้นมาจากภาคใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือด้วย
ข้อสำคัญคือ ศรีลังกานั้นแม้เป็นเมืองพุทธศาสนา มีทั้งฝ่ายอรัญวาสี และคามวาสี หรือคือพระป่าและพระบ้านอยู่ด้วยกันก็จริง แต่พระพุทธศาสนาจากลังกาก็มาจากอินเดียใต้ คนละสายกับพม่าซึ่งมาอีกสายหนึ่งและบทพระคาถาชินบัญชรนั้นเป็นวิทยาคม ซึ่งพม่าก็ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องนี้ จึงน่าจะสอดคล้องว่าคาถาชินบัญชรนั้นเป็นบทพระคาถาที่ติดมาตั้งแต่ยุคพระมหาเถรคันฉ่อง ที่ตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรจากพม่ามาสถิตอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา แล้วขยายกระจายสำนักต่างๆ ไปทั้งในภาคกลาง ภาคใต้ และภาคเหนือ
วิทยาการของสายพระมหาเถรคันฉ่องทางด้านเหนือนั้นต่างจากภาคใต้เกือบจะสิ้นเชิง วิทยาการซึ่งไปเผยแพร่ในภาคใต้เป็นสายบู๊เสียมากกว่า คือเป็นวิชาว่าด้วยการอยู่ยงคงกระพันสารพัดรูปสารพัดแบบและเชื่อมโยงกับวิชาการต่อสู้ของชายชาตรีในยุคนั้น
สำหรับภาคกลางเป็นเรื่องของพิชัยสงครามและการสู้รบของฝ่ายทหาร ดังที่ทราบกันอยู่คือหลักวิชาต่อสู้ของสำนักพุทไธสวรรย์และหลายสำนักในอยุธยา
สำหรับทางเหนือนั้นพื้นเดิมก็เป็นพื้นที่นิยมชมชอบเรื่องความสวยความงาม ความรักความผูกพัน การสร้างความติดยึดลุ่มหลงหรือเสน่ห์ยาแฝดนั่นแหละ ดังนั้นหลักวิชากระดังงาลนไฟก็ดี หรือหลักวิชาบทคาถาว่าด้วยเมตตามหานิยม การผูกเสน่ห์ ปั้นหุ่น ผูกหุ่น ฝังหุ่น และยาแฝดทั้งหลายจึงถูกถ่ายทอดไปยังพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งพื้นเดิมก็มีหลักวิชาของล้านนาอยู่แล้ว
ดังนั้นหลักวิชาจากสายพม่าจึงอาจแยกเป็นสามสาแหรกดังพรรณนามานั้น
เหตุใดทางการจึงตามตัวพระมหาโตไม่พบตลอดรัชกาลที่ 3 ก็เป็นที่สงสัยในใจคนทั้งปวงว่าท่านล่องหนหายตัวหรือประการใด ดังนั้นเมื่อถึงยุคสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ขึ้นเสวยราชย์แล้วก็ยังคงติดใจเรื่องนี้อยู่ จึงทรงมีรับสั่งถามว่าเหตุใดในสมัยแผ่นดินก่อนจึงตามตัวไม่พบ และทำไมจึงเข้ามาตามหมายรับสั่งในรัชกาลนี้
เจ้าประคุณสมเด็จได้ถวายพระพรตอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ว่าแผ่นดินก่อนนั้นไม่ใช่ฟ้า อาตมาจึงไปทางไหนก็ได้ แต่แผ่นดินนี้มหาบพิตรทรงเป็นฟ้า อาตมาจะไปไหนก็ไม่ได้ จึงกลับเข้ามาตามหมายรับสั่ง
การถวายพระพรตอบเช่นนั้นก็ไม่ได้ไขความจริงทั้งหมดว่าเหตุใดทางการจึงไม่สามารถสืบหามหาโตได้ตลอดรัชกาลที่ 3 ซึ่งยุคนั้นสมัยนั้นผู้คนก็ไม่มาก ขนาดผู้ร้ายเรืองวิทยาคมอย่างไร ทางราชการก็ตามตัวไล่ล่าเอาตัวมาลงโทษตามกบิลเมืองได้ แต่ไฉนเล่ามหาโตจึงไม่มีผู้ใดพบเห็นตลอดระยะเวลาอันยาวนานจนสิ้นรัชกาล
การถวายพระพรตอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 พระมหาโตไม่ได้ถวายพระพรตอบตามเป็นจริง แต่เป็นการตอบด้วยโวหารทางพระพุทธศาสนาและการปกครอง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพอพระทัยไม่ทรงไต่ถามต่อไป
อย่าเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ไม่คิดหรือไม่รู้ว่าทำไมจึงตามตัวขรัวโตไม่พบเพราะพระองค์ทรงปัญญาวิชาคุณในขั้นสูง ทรงทราบถึงอิทธิวิธีทั้งหลายและอิทธิบาทอันเป็นบาทฐานของการทำอิทธิฤทธิ์ว่าเป็นอย่างไร ต้องอาศัยกำลังสมาธิ กำลังฌาน และกำลังอิทธิบาทอย่างไรจึงก่อเกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ได้ การที่ไม่ทรงรับสั่งถามต่อก็อาจเป็นเพราะทรงทราบด้วยพระองค์เองแล้วว่าขรัวโตใช้อิทธิฤทธิ์บางอย่างในพระพุทธศาสนาจึงหลุดรอดสายตาหรือทำให้ทางการตามตัวไม่ได้ตลอดรัชกาลที่ผ่านมา
ในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ขุนนางผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่คุมอำนาจรอบทิศทั่วด้านคือขุนนางในตระกูลบุนนาค ซึ่งต่อมาก็รู้จักกันเป็นอย่างดีในนามแห่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ
โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนที่ยังทรงพระเยาว์สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและสมุหกลาโหม ควบคุมอำนาจแผ่นดินเบ็ดเสร็จ ยกเว้นในเขตพระบรมมหาราชวังเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี