วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้ว คือ “เรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรทางเศรษฐกิจกลับคืนมา”ไม่แตกต่างจากการต่อสู้ของแรงงานเรื่องวันลาคลอด เมื่อปี 2536 หรือ 3 ทศวรรษที่แล้ว แรงงานหญิงมีครรภ์ที่ต้องออกไปประท้วง อดข้าว และ กรีดเลือด จนได้สิทธิวันลาคลอดได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 60 วัน เป็น 90 วัน อันทำให้แรงงานหญิงที่ทำงานออฟฟิศได้รับอานิสงส์ผลบุญไปด้วย
“ประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจโดยการกดขี่ขูดรีดแรงงาน และ การเอารัดเอาเปรียบโดยกลุ่มทุนโดยเฉพาะไม่กี่ตระกูลบนยอดพีระมิด อันครอบคลุมชีวิตคนไทยในทุกมิติ แน่นอนว่า การลดความเหลื่อมล้ำจะต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนโดยตรงจากภาคการเมือง หรือผู้ที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความสมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์และทางศีลธรรม
การจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรมมากขึ้น จะสามารถปรากฏเป็นจริงได้ จึงขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นจริงจังของรัฐบาล โดยเราสามารถมีงบประมาณสำหรับระบบสวัสดิการคนไทยและการลงทุนในอนาคตของประเทศ โดยการเพิ่มรายได้จากภาษี และปฏิรูปการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสมทบการออมในวัยทำงาน ตามข้อเสนอและรายงานการศึกษามากมายจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ และ องค์การระหว่างประเทศ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา”
รายงานในปี 2566 ของธนาคารโลกเรื่อง “การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย -การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน” จึงเสนอให้ประเทศไทยสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจให้มีความเท่าเทียมและความยืดหยุ่น (resilience) มากขึ้นได้ โดย 1.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ 2.เพิ่มการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ และ 3.ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและนโยบายรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การปฏิรูปภาษีแบบก้าวหน้า” เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะการเข้าสู่สังคมสูงวัย จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในด้านบำนาญ สวัสดิการผู้สูงอายุ และสวัสดิการรักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อการเพิ่มงบประมาณภาครัฐด้านความช่วยเหลือทางสังคม โดยอย่างยิ่ง นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยกล่าวในปาฐกถาว่า “อนาคตของเศรษฐกิจไทย จำเป็นต้องกระจายอย่างทั่วถึง (inclusive) ไม่ใช่เติบโตแบบกระจุกอยู่เพียงบางกลุ่มคน บางธุรกิจ หรือบางพื้นที่” ทำให้เศรษฐกิจมีความเปราะบาง เราจำเป็นต้องเปลี่ยนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะเผชิญแรงกดดันจากการทำลายล้างทางดิจิทัล(digital disruption) และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ถ้าไม่ทำให้การเจริญเติบโต (growth) สามารถแบ่งปันกันในวงกว้าง จะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบภาษีและการปฏิรูประบบงบประมาณ โดยเราสามารถมีแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย ได้แก่ 1.จัดระบบความสำคัญก่อนหลังในการจัดสรรงบประมาณประจำปี กล่าวคือ ลดงบที่ไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน 2.ยกเลิกสิทธิพิเศษและค่าลดหย่อนทางภาษีสำหรับมหาเศรษฐีและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น BOI และ Capital Gain Tax
3.เก็บภาษีเพิ่มจากส่วนต่างของกำไรที่ได้จากการขายหลักทรัพย์และที่ดิน 4.ปรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพ 5.ลดเกณฑ์ยกเว้นภาษีการรับมรดกที่มูลค่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับมรดกไม่ถึง 100 ล้านบาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษี ควรจะปรับลดลงมาให้สมเหตุสมผลมากกว่านี้ 6.เพิ่มอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะอัตราต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับสากล
7.ปรับระบบภาษีเงินได้ ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดก็ตามต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกันหมด ไม่ใช่เหลื่อมล้ำกันระหว่างภาษีรายได้ที่จัดเก็บจากเงินเดือน เงินปันผล กำไร หรือ ที่ดิน ซึ่งโดยเฉลี่ยคนรวยเสียภาษีในอัตราต่ำกว่ามนุษย์เงินเดือน 8.หน่วยงานของรัฐที่ถือครองที่ดินมากเกินจำเป็นและไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ควรนำมาให้ประชาชนเช่าทำมาหากินเมื่อประชาชนมีฐานะดีขึ้น รัฐจะเก็บภาษีได้มากขึ้น
ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ปีนี้ธนาคารโลกยืนยันเสนอหลายครั้งผ่านสื่อให้ขึ้น VAT เป็น 10% ตามรายงาน “การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย-การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน” โดยผู้เขียนเห็นว่า ควรทำ earmarked คือ เก็บเพิ่มเอามาใช้จ่ายตรงให้เป็นประโยชน์กับประชาชน และ ต้องควบคุมการฉวยโอกาสขึ้นราคาของนายทุนที่ยึดกุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
แน่นอนว่า ประเทศไทยก็ยังมีโอกาสเลือกทิศทางที่มีเป้าหมายพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นธรรม ไม่ใช่กระจุกทรัพยากรและโอกาสเพียงแค่คนส่วนน้อยบนยอดพีระมิด แบบคนส่วนใหญ่ทำงานทั้งชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก ทั้งที่ร่วมจ่ายภาษีการบริโภคมาตลอด ในขณะที่ตระกูลรวยสุดกอบโกยด้วยการเอารัดเอาเปรียบจากการผูกขาดและมีอำนาจเหนือตลาดเพราะเราคงไม่อยากจะเห็นภาพที่ความเหลื่อมล้ำสะสมมากเข้า จนในที่สุดกลายเป็นโศกนาฏกรรมตามประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ในเมื่อประเทศไทยจำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับงบบำนาญข้าราชการและงบรักษาพยาบาลข้าราชการที่จะพุ่งขึ้นในอนาคต ก็ควรจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยใช้หลักวิชาการทางการคลัง ทั้งด้านงบประมาณและภาษีเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างด้านความเหลื่อมล้ำ ช่วยสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยระบบสวัสดิการ และ เป็นเส้นทางอันพึงปรารถนาของการพัฒนาที่ยั่งยืนและปรองดอง!!!
หมายเหตุ : บทความนี้เดิมชื่อ “อีกครั้งสำหรับการพัฒนาบำนาญผู้สูงอายุเพื่อระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม” เขียนโดย ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนได้รับการปรับปรุงให้พอดีกับเนื้อที่ของฉบับหนังสือพิมพ์

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี