พรรคก้าวไกล ดูจะมีท่าทีคัดค้าน ขัดขวาง และดิ้นจะเป็นจะตายแทบทุกเรื่อง ต่อโครงการที่เปิดโอกาสให้กลุ่มทุนที่ไม่ใช่ขี้ข้าอเมริกาและพวกเข้ามามีบทบาทสนับสนุนงานพัฒนาในประเทศไทย
ไล่ตั้งแต่รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่พลพรรคก้าวไกลขวางและด้อยค่ามาแต่แรก โดยหันไปเชิดชูไฮเปอร์ลูป (555) และล่าสุด หยิบเอาข้ออ้างเมืองเก่าอโยธยามาจุดกระแสคัดค้านการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็งสูงอยุธยา ทั้งๆ ที่ เขาก็สร้างตรงจุดเดิมของสถานีรถไฟที่มีอยู่เดิม
ด้อยค่าวัคซีนจีน อวยวัคซีนเทพ ฯลฯ
ล่าสุด ก็ความพยายามคัดค้าน ดิสเครดิต เตะถ่วงโครงการแลนด์บริดจ์ก็อีหรอบเดียวกัน
1. การอภิปรายในสภาเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเกี่ยวกับการพิจารณารายงานผลการศึกษาโครงการ “แลนด์บริดจ์” ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
จะเห็น สส.ก้าวไกลอภิปราย 2 ประเด็นใหญ่ๆ
หนึ่ง โจมตีว่าการศึกษาไม่ครบถ้วน หละหลวม กลัวว่าจะหลอกต่างชาติมาลงทุน
สอง พยายามหยิบยกว่าโครงการลงทุนมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาทลงทุนอย่างอื่นคุ้มค่ากว่าหรือไม่ (ทั้งๆ ที่ เงินลงทุนโครงการนี้จะมาจากเอกชนที่เขาคิดว่าคุ้มค่า เขาจึงจะมาลงทุน เขาต้องศึกษาความเสี่ยง ทุกมิติเองอยู่แล้ว)
ในความเป็นจริง การคุ้มทุนของโครงการหรือไม่ เป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนต้องเข้ามาร่วมศึกษา และตัดสินใจ “ไม่มีนักลงทุนชาติใด เชื่อการศึกษาของผู้เสนอการลงทุนเพียงฝากเดียว” ในทางกลับกันศักยภาพต้นทุนที่ต่างกัน และวิสัยทัศน์ที่ต่างกันของเอกชนแต่ละราย จะส่งผลต่อการคุ้มทุนของโครงการ
2. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อภิปรายบางช่วงว่า
“..ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการลงทุนโครงการ 1 ล้านล้านบาทนี้แล้วใช่หรือไม่ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนภาคใต้ และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ถึงแม้บางท่านอาจจะบอกว่าโครงการนี้เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) แต่เม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท ถ้าเอาจิตใจและความคิดของคนภาคใต้มาคิดว่าเขาต้องการอะไร อะไรคือวิสัยทัศน์ของเขา อะไรคือปัญหาของเขา เราจะสามารถดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนแบบ PPP และสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนภาคใต้ได้จริง
ขอยกตัวอย่างแค่ 4-5 ตัวอย่าง เช่น เป็นไปได้หรือไม่ที่ภาคใต้จะลงทุนเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเชื่อมต่อกับมาเลเซียและสิงคโปร์ได้ในอนาคตหากมาเลเซียและสิงคโปร์ต้องการจะลงทุนในระบบคลาวด์เซ็นเตอร์ ต้องการจะลงทุนในกิจการต่างๆ ที่ต้องใช้พลังงานสะอาด ภาคใต้ของเราก็มีให้...”
การที่นายพิธาตั้งโจทย์ว่า เงินลงทุน 1 ล้านล้าน จะเอาไปทำอย่างอื่นที่ดีกว่าหรือไม่นั้น เป็นเหมือน “ลิเกผิดโรง”
เพราะเงิน 1 ล้านล้านล้านบาทนั้น ไม่ใช่เงินของรัฐ แต่เป็นเงินลงทุนของเอกชนต่างประเทศ หากเขาเห็นว่าเขาลงทุนแล้วจะได้กำไร เขาถึงจะเอาเงินมาลงทุน
พูดชัดๆ คือ ขณะนี้ ยังไม่มีด้วยซ้ำเลย 1 ล้านล้านที่ว่า แต่ไทยเรากำลังชักชวนเอกชนให้สนใจเข้ามาลงทุน ซึ่งแน่นอนว่า ก่อนที่เอกชนต่างชาติจะควักกระเป๋าเข้ามาลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท ย่อมจะมีการศึกษาเพิ่มเติมของเขาเอง ถึงความคุ้มค่า ความเสี่ยง ในหลากหลายมิติกว่าการศึกษาเพื่อเชิญชวนของทางการไทย
นอกจากนี้ นายพิธาทำราวกับเป็นปากเป็นเสียงให้สิงคโปร์ว่าสิงคโปร์อยากลงทุนอะไรที่ไม่ใช่แลนด์บริดจ์
อย่าลืมว่า สิงคโปร์มองว่า แลนด์บริดจ์ในไทยจะลดบทบาทและกระทบผลประโยชน์ของสิงคโปร์
ในความเป็นจริง แลนด์บริดจ์อาจเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของสิงคโปร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดีต่อประเทศไทย ต่อเศรษฐกิจภาคใต้ ทำไมพรรคก้าวไกลจะต้องดิ้นออกอาการชัดเจนขนาดนี้ด้วย?
3. น่าแปลกใจ สมัยพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธรและพวก เคยออกมาอวยการลงทุนโครงการไฮเปอร์ลูปอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆ ที่ ตัวต้นแบบโครงการก็ยังไม่มีผลสำเร็จใดๆ ด้วยซ้ำ
ปัจจุบัน บริษัทไฮเปอร์ลูป วัน (Hyperloop One) ที่สหรัฐอเมริกา ที่นายธนาธรเดินทางไปถ่ายคลิปมาโม้ ปั่นกระแสนั้น ปิดตัวไปแล้ว โดยไม่มีการก่อสร้างไฮเปอร์ลูปที่ใช้งานได้จริง
จนบัดนี้หายหัวไปเลย ไม่มาโม้ให้สาวกอีก คงจะอาย
วันนี้ สส.ก้าวไกลที่เคยตามแห่ไฮเปอร์ลูปที่ไม่เคยมีผลการศึกษาหรือความสำเร็จเป็นรูปธรรมอะไร กลับพยายามตั้งแง่เอากับผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ว่าไม่ละเอียด ไม่รอบคอบ ไม่ครบถ้วน ฯลฯ
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.เพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการฯ ได้อภิปรายให้ข้อมูลในสภา โดยเน้นย้ำว่าโครงการแลนด์บริดจ์เป็นโครงการสร้างให้ประเทศไทยเป็นประตูขนส่งแลกเปลี่ยนสินค้าในระดับภูมิภาคและระหว่างทวีปต่างๆ ของโลก รวมถึงพิจารณาความคุ้มค่าของการลงทุนไม่ได้พิจารณาเพียงแค่มูลค่าสินค้าผ่านเส้นทาง แต่ต้องพิจารณาถึงการคาดการณ์เติบโตเศรษฐกิจของประเทศไทยที่จะได้รับในอนาคตอีกด้วย
โครงการแลนด์บริดจ์ เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน คือ ท่าเรือฝั่งอ่าวไทย จังหวัดชุมพร เเละท่าเรือฝั่งอันดามัน จังหวัดระนอง
เป็นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างกันด้วยระบบราง (รถไฟทางคู่) และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ซึ่งโครงการแลนด์บริดจ์เป็นเครื่องมือ หรือตัวนำที่เป็นแม่เหล็กที่จะดึงดูดการลงทุนเพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมหลังท่าและนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ และพัฒนาเศรษฐกิจในภาคใต้และประเทศไทย
ซึ่งเหตุผลของการเสนอโครงการแลนด์บริดจ์นั้น มีลักษณะจุดแข็งสำคัญของประเทศไทยที่คาดว่าจะเกิดประโยชน์ต่อชาติมาก ได้แก่ 1. ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค และเป็นประตูในการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้าของประเทศในภูมิภาคและระหว่างทวีปต่างๆ ของโลก 2. ช่วยลดเวลาและระยะทางขนส่งจากเดิมที่ต้องขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา ประหยัดต้นทุนขนส่ง 3. หลีกเลี่ยงปัญหาการติดขัดในการเดินเรือที่ผ่านช่องแคบมะละกาและเป็นโอกาสไทยแชร์ส่วนแบ่งการเดินเรือและค่าธรรมเนียมจากช่องแคบมะละกา 4. มีแนวโน้มจูงใจ ให้ผู้ประกอบการขนส่งและนักลงทุนใช้ประโยชน์จากเส้นทางแลนด์บริดจ์มากขึ้น เพราะลดเวลาและค่าใช้จ่ายขนส่ง และ 5. เชื่อมโยงขนส่งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งไทยตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านขนส่งและการค้าของเอเชีย
“อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวก็มีเรื่องความกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความชัดเจนเรื่องการชดเชย เอกสารสิทธิในที่ดิน การจ้างแรงงาน การบริหารจัดการน้ำและไฟฟ้า ซึ่งหากรัฐบาลสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ชัดเจนและพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการอย่างรอบคอบแล้ว ก็อาจจะทำให้โครงการแลนด์บริดจ์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น” - ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าว
ก็จะเห็นได้ว่า รายงานของ กมธ.ดังกล่าว มิใช่ชี้ว่าโครงการแลนด์บริดจ์ดีเลิศสมบูรณ์แล้ว แต่ยังมีจุดที่จะต้องดำเนินการต่อไปหากต้องการให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริง
มิใช่ทำตัวเป็น “ไอ้เข้ขวางคลอง” ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี