ประวัติศาสตร์ของชาติไทยในช่วงอาณาจักรอยุธยาตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปี และมีพระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดิน ๓๓ พระองค์มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องของการศึกสงคราม การขยายอาณาเขต การค้าขายกับต่างชาติ และอื่นๆ ซึ่งบางเหตุการณ์สามารถนำมาเป็นข้อคิดในการบริหารราชการแผ่นดินได้เป็นอย่างดี
สงครามช้างเผือก เป็นตัวอย่างหนึ่งของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ในการนำมาศึกษา เป็นบทเรียนที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางด้านความคิดและการตัดสินใจซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของชาติ เหตุการณ์ที่เรียกว่าสงครามช้างเผือกนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ ของอาณาจักรอยุธยา โดยเกิดขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๑๐๖
ในช่วงเวลาดังกล่าว กรุงศรีอยุธยาและกรุงหงสาวดีต่างก็มีความเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ โดยอาณาจักรอยุธยามีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องบุญญาบารมีของพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดิน คือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชสมบัติเมื่อปีพุทธศักราช ๒๐๙๑ ซึ่งพระองค์ได้ครอบครองช้างเผือกถึง ๗ เชือก เพราะมีความเชื่อกันว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดที่ครอบครองช้างเผือกไว้ได้มาก ย่อมหมายถึง เป็นผู้ที่มีบุญญาบารมีสูงส่ง เป็นพระเกียรติยศที่ปรากฏไปยังนานาอารยประเทศ
ในขณะที่กรุงหงสาวดี ก็ต้องยอมรับกันว่าพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองก็เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักร พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความกล้าหาญและเชี่ยวชาญในการรบเป็นอย่างยิ่ง สามารถรวบรวมเมืองต่างๆในอาณาจักร เช่น หงสาวดี เมืองแปร อังวะ และอื่นๆ ให้มาอยู่ภายใต้อาณาจักรได้ทั้งหมด จนได้ชื่อว่าผู้ชนะสิบทิศ
เมื่อพระเจ้าบุเรงนองทราบว่าอาณาจักรอยุธยาได้ครอบครองช้างเผือกเป็นจำนวนมาก จึงมีพระราชประสงค์ที่จะได้ช้างเผือกมาเสริมพระบารมีเช่นกัน แต่ในเบื้องลึกก็น่าจะเป็นเรื่องที่พระองค์ต้องการแผ่พระบรมราชานุภาพมายังกรุงศรีอยุธยา แต่ยังหาเหตุไม่ได้ เมื่อทราบว่ากรุงศรีอยุธยามีช้างเผือกถึง ๗ เชือก ด้วยความที่พระองค์เฉลียวฉลาดในพระราโชบาย จึงมีพระราชสาส์นให้ราชทูตนำมายังกรุงศรีอยุธยา เป็นทำนองว่าจะขอเจริญทางพระราชไมตรี โดยกล่าวว่าสมเด็จพระเชษฐาซึ่งหมายถึงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงมีบุญญาธิการมาก มีช้างเผือกถึง ๗ เชือกแต่กรุงหงสาวดียังหามีไม่ จึงขอให้เห็นแก่ไมตรี ขอพระราชทานช้างเผือก ให้แก่ข้าพเจ้าผู้เป็นอนุชาสัก ๒ เชือก เพื่อให้พระราชไมตรีของทั้งสองพระนครจะได้เจริญพัฒนาการสืบไป
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงเรียกประชุมเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่เพื่อพิจารณา ว่าสมควรพระราชทานช้างเผือกตามที่ขอมาหรือไม่ ซึ่งมตินั้นไม่เป็นเอกฉันท์ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ฝ่ายที่เห็นด้วยให้เหตุผลว่า พระเจ้าหงสาวดีลิ้นดำหรือพระเจ้าบุเรงนองนี้ มีพระบารมีสูงยิ่ง จนเลื่องลือกันว่าเป็นผู้ชนะสิบทิศ ฉลาดหลักแหลม มีกลยุทธ์ในการศึกที่กล้าแข็ง กรุงศรีอยุธยาคงจะต้านพระบรมราชานุภาพไม่ได้ หากมอบช้างเผือกให้ไปจำนวน ๒ เชือก ก็ยังเหลืออีก ๕ เชือก ถึงแม้จะเสียพระเกียรติบ้างก็ต้องยอม เพราะหากดึงดันไม่ยอมตามที่ขอคงจะเกิดสงครามใหญ่ สมณะชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร์ ข้าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะล้มตายเป็นใบไม้ร่วง รวมไปถึงขอบขัณฑสีมารอบพระนครจะถึงแก่การแตกสลายพินาศสิ้น อีกทั้งพระศาสนาก็จะเศร้าหมอง
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ประกอบด้วยสมเด็จพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงครามให้เหตุผลว่าการขอช้างเผือกมานั้นเป็นเพียงกลอุบายที่จะหาเหตุรุกรานกรุงศรีอยุธยา เพื่อจะให้อยู่ภายใต้อำนาจยอมอ่อนน้อมเป็นข้าขัณฑสีมาโดยไม่ต้องรบพุ่งให้เสียเลือดเนื้อ การที่จะมอบช้างเผือกให้กลับจะทำให้เห็นว่าไทยกลัวพม่าจนยอมอยู่ในอำนาจ ไฉนเลยจะนิ่งเฉย คงจะหาเหตุอื่นยกทัพมารุกรานไทยจนเป็นเมืองขึ้นในภายภาคหน้า โดยฝ่ายนี้เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาจะสู้รบเอาชนะข้าศึกได้
เมื่อเป็นดังนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงมีพระราชสาส์นตอบไปอย่างถนอมน้ำใจยิ่งว่า ช้างเผือกย่อมเกิดสำหรับบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นเจ้าของ หากพระเจ้าหงสาวดีได้ทรงบำเพ็ญธรรมให้ไพบูลย์ ก็คงจะได้ช้างเผือกมาสู่พระบารมีเป็นมั่นคง อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ซึ่งก็คือการปฏิเสธนั่นเอง
จึงเป็นที่มาของสงครามช้างเผือก โดยพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองได้สั่งให้จัดทัพใหญ่ มีกำลังพลถึง ๕ แสนนาย แบ่งออกเป็น ๕ ทัพ เพื่อจะยกมาตีกรุงศรีอยุธยา โดยยกทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา ซึ่งง่ายต่อการนำปืนใหญ่ขนาดใหญ่มาได้ กองทัพทั้งห้าประกอบด้วยกองทัพหน้า มีสมเด็จพระมหาอุปราชามังไชยยะสิงห์ พระราชโอรสเป็นแม่ทัพ ปีกขวา ผู้ที่เป็นแม่ทัพคือพระเจ้ากรุงอังวะ ราชบุตรเขย ปีกซ้าย ผู้ที่เป็นแม่ทัพคือพระเจ้าแปร ราชอนุชา ทัพหนุน ผู้เป็นแม่ทัพคือพระเจ้าตองอู ราชอนุชา ส่วนพระองค์เองเป็นจอมทัพของกองทัพหลวง และยังให้กองทัพของพระเจ้าเชียงใหม่เป็นกองระวังหลังและจัดเตรียมเสบียงทั้งหมดด้วย แต่ละทัพมีม้าจำนวนนับ ๑,๐๐๐ ตัว และช้างอย่างน้อย ๕๐๐ ตัว
ทัพของพระเจ้าบุเรงนองได้ปราบหัวเมืองทางเหนือทั้งหมดจนกระทั่งถึงเมืองพิษณุโลกซึ่งพระมหาธรรมราชาทรงครองเมืองอยู่ และในที่สุดด้วยกำลังทหารที่มากมาย ก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้พระมหาธรรมราชาทรงยอมเข้าร่วมรบกับกองทัพของพระองค์ด้วย
ในที่สุดทัพของพระเจ้าบุเรงนองก็มาถึงกรุงศรีอยุธยา และตั้งทัพล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทั้ง ๔ ด้าน และด้วยเห็นว่าเพื่อมิให้เป็นการเสียเลือดเนื้อ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ได้ยอมออกไปเจรจากับพระเจ้าบุเรงนอง โดยยอมรับข้อเสนอต่างๆ ทั้งหมด ทั้งในเรื่องให้สมเด็จพระราเมศวรไปเลี้ยงเป็นพระราชโอรส รวมทั้งนำตัวพระยาจักรีและพระสุนทรสงครามไปด้วย ตลอดจนการมอบช้างพลายเผือกจำนวน ๔ เชือกให้กับพระเจ้าบุเรงนอง
ในส่วนของการบริหารบ้านเมืองโดยรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งในการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งนั้น ก็ได้นำเสนอนโยบายต่างๆ ที่เป็นลักษณะของประชานิยมไว้ค่อนข้างจะมาก ที่สำคัญคือการแจกเงิน Digital Wallet ซึ่งไม่ใช่เป็นตัวเงินจริงให้กับประชาชนที่อายุ ๑๖ ปีขึ้นไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ซึ่งเดิมคาดว่าจะใช้เงิน ๕๖๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่ในที่สุดก็ปรับลดลง เหลือประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเมื่อตอนหาเสียงนั้นได้กล่าวไว้ว่าจะแจกให้โดยเร็ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเกิดประเด็นความขัดแย้งทางด้านความคิดของนักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทหน้าที่หลักในการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ว่าการแจกเงินดังกล่าวจะไม่ช่วยแก้ปัญหาที่รัฐอ้างว่าเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ตลอดจนวิธีการหาเงินดังกล่าวมาก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะได้มาอย่างไร ซึ่งน่าจะต้องเป็นเรื่องของการกู้ ซึ่งมีผู้แย้งว่าหากประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจจริง อาจจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และยังจะทำให้ประเทศมีหนี้สินเพิ่มเติมจำนวนมาก
ขณะนี้หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยมีมากกว่า ๙๐% ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี และโดยความจริงประเทศไทยยังคงมีหนี้สินที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทที่เกิดภาวะต้มยำกุ้ง ทำให้ต้องกู้เงินจากกองทุน IMF มากกว่า ๑ ล้านล้านบาท ซึ่งยังค้างชำระอยู่มากกว่า ๖ แสนล้านบาท โดยรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณเพื่อชำระในส่วนของดอกเบี้ยปีละประมาณ ๑๙,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งคาดว่ายังจะต้องใช้เวลาอีกนับ ๑๐ ปี จึงจะผ่อนหนี้ก้อนเดิมหมด การที่จะกู้เงินก้อนใหม่จำนวนมากจึงจะเป็นการเพิ่มหนี้สินและยังเป็นภาระค่าดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ ๒.๕% ซึ่งไม่น้อยกว่าปีละ ๑๔,๐๐๐ บาทล้านบาทไปเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน เงินจำนวนดังกล่าวนี้หากนำไปใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ว่าการสร้างสนามบินเพิ่มเติม ระบบขนส่งมวลชน เช่นรถไฟฟ้าทั้งในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ ก็จะทำโครงการได้อีกมากมาย
การขัดแย้งทางความคิดครั้งนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร และหากการตัดสินใจของรัฐบาลผิดพลาด ก็จะนำไปสู่ความเสียหายของประเทศชาติได้ การรับฟังความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย และอาจารย์ตลอดจนนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย จึงเป็นสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการทบทวนเรื่องดังกล่าว อย่านำประเด็นเรื่องหาเสียงมาเป็นข้อกำหนดว่าจะต้องจัดทำเรื่องนี้ให้ได้เพื่อรักษาฐานเสียงของตัวเองไว้ แต่ไม่อาจรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติไว้ได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี