ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯเพียง 2 วัน ผู้ที่ติดตามข่าวบ้านเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการยึดอำนาจ เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พอจะทราบได้ว่า มีการออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่บุคคลในคณะราษฎรในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แต่ผู้คนมักจะไม่ค่อยทราบว่า ต่อมารัฐบาลของพระยามโนฯได้อาศัยสภาผู้แทนราษฎรออกพระราชกำหนดอภัยโทษในโอกาสที่ประเทศสยามได้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินด้วย
เรื่องการออกพระราชกำหนดนี้ ทางรัฐบาลได้เสนอเข้าสภาฯ ในวันประชุมสภา ครั้งที่ 17 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ที่น่าสังเกตก็คือ กฎหมายฉบับนี้เรียกว่าพระราชกำหนด แต่รัฐบาลได้นำเสนอร่างพระราชกำหนดให้สภาพิจารณา และได้มีการแก้ไขกันในสภาฯด้วย จึงไม่ใช่พระราชกำหนดที่ประกาศใช้ก่อน แล้วต่อมาจึงนำพระราชกำหนดทั้งฉบับไปขออนุมัติสภาฯ ทำไมจึงไม่เรียกว่าพระราชบัญญัติก็ไม่ทราบ แต่เชื่อว่าน่าจะไม่ผิดกติกาแต่อย่างไร เพราะสภาฯสมัยนั้นมีนักกฎหมายระดับอาวุโสชั้นครูเป็นสมาชิกสภาฯอยู่หลายท่าน
พระยามโนฯ ประธานคณะกรรมการราษฎรได้แถลงว่า
“การเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง ที่จะทำสิ่งใดให้ปรากฏ ลงไว้ในพงศาวดารแห่งประเทศ การปล่อยนักโทษนั้นเป็นการกุศลที่เราเชื่อถือมา และกิจการใดที่เกิดขึ้นแล้ว และถือเป็นการสำคัญ เช่นฉลองพระนคร และเปลี่ยนรัชกาล ก็มีการปล่อยนักโทษกัน…”
ที่ยกมานี้ จึงเป็นการให้เหตุผลของรัฐบาลต่อสภาฯนั่นเอง จากนั้นพระยามโนฯ จึงได้เสนอต่อไปว่า
“ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสำคัญเหมือนกัน ทั้งจะเป็นเครื่องหมายในพงศาวดารด้วย จึงควรทำให้เป็นที่ระลึกไว้”
นักกฎหมายซึ่งเป็นผู้ร่างพระราชกำหนดฉบับนี้จะเป็นพระยามโนฯหรือเปล่าไม่ทราบได้ แต่เมื่อเสนอในสภาฯปรากฏว่านักกฎหมายที่ยืนขึ้นขอแก้ไขคนแรก คือ พระยามานวราชเสวี อธิบดีกรมอัยการ แก้ไขตำแหน่งที่ระบุว่า “เสนาบดีมหาดไทย” เป็น “เสนาบดีผู้บัญชาการเรือนจำ” ทั้งยังเติมคำว่า “โดยอนุโลม” ต่อท้ายในมาตรา 7 การเสนอขอแก้ไขและเพิ่มเติมของพระยามานฯ นั่น พระยามโนฯหัวหน้ารัฐบาลซึ่งเป็นผู้เสนอได้เห็นชอบตามที่มีการขอแก้ไข จากนั้นก็ยังมีสมาชิกสภาฯรายอื่นเสนอแก้ถ้อยคำอีกเล็กน้อยจึงทำให้มีการอภิปรายต่อไปอีก จนหาข้อยุติและข้อแก้ไขได้ ประธานสภาฯจึงขอมติ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบ
การนิรโทษกรรมที่มีมาก่อนการอภัยโทษนั้นเป็นการนิรโทษกรรมให้ผู้มีอำนาจ ส่วนการอภัยโทษที่ตามมานี้เป็นการอภัยโทษให้แก่ผู้ไร้อำนาจ ที่กำลังติดคุกอยู่แล้วในวันนั้น
ความในกฎหมายนี้มีเนื้อหาสำคัญตอนหนึ่งว่า
“โดยที่สภาผู้แทนราษฎรถวายคำปรึกษาว่า ณ โอกาสที่ได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้นมาเป็นครั้งแรกในกรุงสยามสมควรที่จะลดและอภัยโทษแก่ผู้ต้องหาพระราชอาญา ให้ได้รับความชื่นชมถ้วนหน้ากัน …”
พระราชกำหนดฉบับนี้เมื่อผ่านสภาและลงพระปรมาภิไธยแล้ว พระยามโนปกรณ์ ประธานคณะกรรมการราษฎรได้เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
ความแตกต่างสำหรับพระราชกำหนด 2 ฉบับนี้ คือ ฉบับแรกมีขึ้นในขณะที่ยังไม่มีทั้งธรรมนูญการปกครองฯ สภาผู้แทนราษฎร และ รัฐบาล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานมาให้นิรโทษกรรมแก่คณะราษฎร ตามที่คณะราษฎรนำขึ้นทูนเกล้าฯถวาย เพื่อขอให้ลงพระบรมนามาภิธัย ส่วนฉบับหลังนี้มีครบทั้งธรรมนูญฯ สภาฯ และรัฐบาล จึงมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี