นักการเมืองส่วนใหญ่นั้นเหมือนกันทุกคน ปากไม่ตรงกับใจ สะท้อนภาพให้เห็นจากการกระทำ ในสมองคิดแต่เรื่องอำนาจกับผลประโยชน์โดยอ้างประชาชนบังหน้า
ทุกวันนี้บ้านเมืองยังไปไม่ถึงไหนก็เพราะนักการเมืองยังไม่พัฒนา จะว่าไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยถาวรก็คงไม่ผิดนัก
เวลานี้ปัญหาหมอกควันในจังหวัดภาคเหนือที่อยู่ในขั้นวิกฤต ทั้งเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และอีกหลายๆ จังหวัด โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้กลายเป็นสมภูมิแย่งชิงคะแนนเสียงของสองพรรคการเมืองใหญ่ คือพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล และเฉพาะหน้านี้ก็คือเก้าอี้นายก อบจ.เชียงใหม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 18 มีนาคมเมื่อวานนี้ พรรคก้าวไกลเพิ่งจะเปิดตัวนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ เป็นแคนดิเดตลงชิงชัย
ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคเพื่อไทยถูกพรรคก้าวไกลแย่งชิงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งถือว่าเป็นเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลสามารถกวาด สส.ในจังหวัดนี้มาได้ถึง 7 คน จากทั้งหมด 10 คน ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ สส.มาเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นของพรรคพลังประชารัฐ
จะเห็นว่าทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เจ้าของฉายา“นายกฯว่าว”เพราะก้าวไปไม่ถึงฝัน ทำตัวเหมือน“อีแร้ง”ที่คอยจ้องแต่จะจิกทึ้งซากศพ ประชาชนที่ประสบวิกฤตหมอกควันกลายเป็นเหยื่อทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลไปโดยปริยาย
ที่พูดอย่างนั้นก็เพราะ วิกฤตหมอกควันในภาคเหนือ เป็นปัญหาซ้ำซากมานานนม เมื่อเข้าหน้าแล้งประชาชนก็จะต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควัน แต่ฟังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดและกระทำ ชี้ให้เห็นว่ายังไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง การเทคแอกชั่นจึงเป็นได้แค่การสร้างภาพเพื่อหวังคะแนนนิยมเท่านั้น
บางเสียงบอกว่า ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แสดงละครตามแบบฉบับของคณะ“ก้าวไกลการละคร” ด้วยการแบกถังบรรจุน้ำ 20 ลิตรพร้อมสูบมือ ใส่เสื้อสีขาวไปทำเก้ๆ กังๆ ให้ปรากฏเป็นข่าวนั้น ก็คือ”ข้อดีของการเมือง” อะไรที่นักการเมืองไม่เคยทำก็ต้องทำเพื่อคะแนนนิยม แม้จะทำแค่ผักชีพอเป็นพิธีกรรมถ่ายรูปก็ยังดี แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับ มีเสียงแสดงข้อกังขาว่า พื้นที่ที่นายพิธาไปช่วยดับไฟนั้นเป็นพื้นจริงหรือฉากที่ถูกจัดขึ้นมา
ส่วนนายเศรษฐา ทวีสิน มาในบทตรงกันข้ามกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ออกฉากแบบ“เศรษฐาท่าจะบ๊องส์”ภาคพิสดาร ดูคลับคล้ายนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม.ไม่มีผิด ด้วยการปั่นจักรยานออกกำลังทายท้ามฤตยูในที่โล่งแจ้ง ทั้งที่หน่วยงานราชการโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พยายามจะรณรงค์ออกประกาศเตือนประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีวิกฤต“PM2.5” โดยห้ามไม่ให้ออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน และการเล่นฟุตบอล
เพราะการออกกำลังกายกลางแจ้งจะส่งผลให้อัตราการหายใจเพิ่มมากขึ้น โอกาสที่ฝุ่นละอองขนาดเล็ก“PM2.5”จะแพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ถุงลมในปอด และผ่านเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะต่างๆได้มากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย หลอดเลือดในสมองตีบ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมไปถึงการกำเริบของโรคหัวใจและโรคหอบหืด และหรือแม้แต่การสวมใส่หน้ากากอนามัย“N 95” ไปออกกำลังในที่โล่งแจ้งก็ไม่ควร เนื่องจากจะทำให้ร่างกายต้องหายใจแรงและเร็วขึ้น อันจะทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักมากขึ้นจนอาจถึงแก่ชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหมอกควันนั้นเป็นผลมาจากการเผาป่าและเผาที่เผาทางของชาวบ้าน ที่เริ่มเผากันมาตั้งแต่หลังเก็บเกี่ยวในช่วงกลางเดือนตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นพฤติกรรมอันเกิดจากการกระทำซ้ำๆ ของชาวบ้าน จากรุ่นสู่รุ่นกันมานมนานกาเล ที่นอกจากจะเผาไร่เผาสวนของตนเอง เพื่อรอการเพาะปลูกในฤดูกาลต่อไปแล้ว ในระยะหลังๆ มีการเผาป่าเพื่อบุกรุกขยายที่ขยายทางกันด้วย
ชาวบ้านเผากันมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคมของทุกปีอย่างที่บอก พอถึงเดือนกุมภาพันธ์มีนาคมเมษายน หมอกควันที่ชาวบ้านเผากันทุกวัน ซึ่งลอยขึ้นไปสุมกันอยู่บนท้องฟ้า แม้แต่ไล่ยุงไล่ริ้นให้กับวัว-ควายในคอกก็ยังเผากันทุกเย็นแทบจะทุกบ้านที่เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ก็กลายเป็นวิกฤต พวกด้อยปัญญาประเภทนายกรัฐมนตรีมือใหม่หัดขับ หรือนักการเมืองวัยละอ่อนที่ด้อยประสบการณ์ จึงพากันงวยงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร เลยกลายเป็นพวก“บอดคลำช้าง”ที่ออกมาตอบโต้กันเรื่องการแก้วิกฤตหมอกควันในจังหวัดภาคเหนือ
และอย่างที่บอกว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับนักการเมืองฝ่ายค้านอย่างนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เหมือนพวก“อีแร้ง” เห็นประชาชนเป็นเพียงแค่เหยื่อที่คอยจ้องจะรุมทึ้ง เพราะการที่รัฐบาลไม่สั่งการให้จังหวัดในพื้นที่ประกาศ“ภัยพิบัติ” ก็เพราะกลัวภาพที่ออกไปสู่สายตาชาวโลกจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เกรงว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย
เช่น แม้แต่การปั่นจักรยานในที่โล่งแจ้งของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็เพื่อ“สร้างภาพ”ให้สายตาชาวโลกเห็นว่า ประเทศไทยไร้วิกฤต ปราศจากมลพิษ บรรยากาศดี สามารถปั่นรถจักรยานเล่นได้แบบ“ชิล ชิล” ทั้งที่ในเวลานี้ตามข้อเท็จจริงจังหวัดเชียงใหม่มีวิกฤต“PM2.5”ติดอันดับ“1-3”ของโลก
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่พยายามจะรักษาพื้นที่คะแนนเสียงของพรรคก้าวไกลในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งออกอาการกลัวเมื่อนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาแสดง“อำนาจ-บารมี”เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงทั้งพูดไม่ถูกเรื่องและพูดไม่ตรงกับใจกลางของปัญหา ดังที่นายพิธาพูดเพ้อเจ้อเหมือนเด็กที่ไม่รู้เรื่องว่า “ปัจจัยที่สำคัญต่อการดับไฟป่า คือการลำเลียงน้ำและคนเข้าไปดับไฟป่าได้ทันเวลา ดังนั้นเราต้องเข้าใจแบบแผนของไฟ...”
ปัญหาวิกฤตหมอกควันนั้นแก้ง่ายนิดเดียว แค่นายกรัฐมนตรีสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้สั่งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งนายอำเภอทุกอำเภอให้สั่ง“กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน”ทุกตำบลทุกหมู่บ้าน ให้กวดขันลูกบ้านห้ามเผาโดยเด็ดขาด แค่นี้ก็จบข่าว
สำคัญที่สุด นายรัฐมนตรีที่ชื่อ“เศรษฐา ทวีสิน”เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะเม็ดเงินที่จะได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั่วโลก มากว่าชีวิตของประชาชนในพื้นที่ที่กำลังประสบวิกฤตหมอกควันอยู่ในขณะนี้ จึงไม่ยอมประกาศให้จังหวัดที่ประสบวิกฤตหมอกควันเป็นพื้นที่“ภัยพิบัติ” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี