การประชุมวุฒิสภา เพื่ออภิปรายทั่วไปรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ผ่านไปแล้ว
เนื้อหาที่ สว.หยิบขึ้นมานำเสนอในที่ประชุม หลายเรื่องปรากฏข้อมูลน่าสนใจ
บางเรื่อง รัฐบาลก็ตอบชัดเจน ให้คำมั่นหนักแน่น
แต่บางเรื่อง รัฐบาลก็ตอบเข้าทำนองว่า “ถามม้า ตอบช้าง”
หรือ “ไปไหนมา สามวาสองศอก”
ขอยกเอาประเด็นที่ สว.บางท่านอภิปรายด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงที่น่ารับฟัง และหากรัฐบาลสามารถตอบชี้แจงกระจ่างชัด จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และยังสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศของรัฐบาลต่อไปด้วย
แต่คำตอบต่อประเด็นเหล่านี้ กลับโหวงเหวง โดยตอบไม่ตรงประเด็นคำถามเป็นส่วนใหญ่
ดังนี้
1. ประเด็นระเบียบ ส.ป.ก. เปิดช่อง เอื้อนอมินีถือครองที่ดิน
สว.ประพันธ์ คูณมี อภิปรายถึงนโยบายแปลงที่ดิน ส.ป.ก. 4-01เป็นโฉนดเพื่อเกษตรกรรม
ระบุว่า นโยบายดังกล่าว หลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิด ทำให้เกิดการลงทุนบุกรุกป่า และเป็นนอมินีให้กลุ่มทุน ซึ่ง จะเกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ ผิดเจตนารมณ์การปฏิรูปที่ดิน เป็นการนำที่ดินของชาติ 40 กว่าล้านไร่ ไปหาเสียง แจกให้กับผู้มีอิทธิพล กลุ่มทุน และกลุ่มการเมือง
ดังนั้น ตนเองจึงไม่เห็นด้วย และเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนระเบียบประกาศที่ออกมา เพราะหากยังฝืนนำที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 กว่าล้านไร่ ไปแปลงเป็นโฉนด จะทำให้เกิดความเสียหายมูลค่านับไม่ถ้วน และหากนโยบายดังกล่าว มีความจริงใจกับการปฏิรูปที่ดินจริง ก็จะต้องจัดสรรให้กับราษฎรเท่านั้น
ในความเป็นจริง ถือเป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ไม่สามารถนำไปเป็นหลักทรัพย์กับสถาบันการเงินได้ เพราะที่ดินดังกล่าว ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ จึงขอให้รัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทบทวนในเรื่องดังกล่าว
“...เดิม ในการจัดสรรที่ดินให้กับเกษตรกร จะมีคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินระดับชาติ เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาประกาศปฏิรูปที่ดินในเขตจังหวัดใด ก็จะมีคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ไปพิจารณาร่วมกันแต่ในยุคร้อยเอกธรรมนัส ได้แก้หลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยออกประกาศเมื่อ 8 ธันวาคม 2566 หรือ ระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกร การโอนหรือตกทอดทางมรดกสิทธิการเช่าหรือเช่าซื้อ และการจัดการทรัพย์สินและหนี้สินของเกษตรกรผู้ได้รับที่ดิน (ฉบับที่ 2) เพื่อให้การจัดสรรที่ดินแก่เกษตรกร ไม่ต้องผ่านคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด และให้อำนาจ ส.ป.ก. จังหวัดแต่เพียงผู้เดียว ที่สามารถจัดสรรให้ใครก็ได้ โดยไม่ต้องมีคณะกรรมการฯ มาพิจารณา จึงทำให้เกิดปัญหาหมุด ส.ป.ก. ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา รุกพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ
ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ว่า ระเบียบ คำสั่งเหล่านี้ เป็นการเปิดประตูให้ทุจริตชนซึ่งผู้ที่จะได้รับจัดสรรที่ดินไปนั้น ก็เป็นพนักงานประจำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มีชื่อบริษัท นายทุน และรายละเอียดจ้างงานปรากฏชัดเจน...”
สว.ประพันธ์ ยังระบุว่า ยังมีการพบว่า มีนอมินีไปถือครองที่ดิน ส.ป.ก. กว่า 700 ไร่ที่สระบุรี โดยปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้มีเฉพาะรายเดียว แต่มีทั้งที่จังหวัดภูเก็ต, อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี และที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ ที่กลุ่มทุนเข้าไปถือครอง แต่ยังไม่ถูกเปิดเผย
ปรากฏว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ร.อ.ธรรมนัส ไม่สามารถชี้แจงในปมข้อกฎหมายที่มีการแก้ระเบียบในยุคตนเองดังกล่าว ได้แต่ยืนยันว่าตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและยึดคืนที่ดินที่จัดสรรครอบครองไม่ถูกต้องอย่างเอาจริง ส่วนประเด็นแก้ระเบียบ รัฐมนตรีโยนไปให้รัฐบาลในอดีต ซึ่งไม่ตรงกับประเด็นที่ สว.อภิปราย
2. ประเด็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ
สว.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ได้อภิปรายให้รัฐบาลแถลงข้อเท็จจริง 5 ด้าน ดังนี้
ด้านที่ 1 การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น คือ ร้อยละ 3.5 โดยชี้ให้เห็นว่าการลงทุนที่ผ่านมาเป็นยักษ์หลับ เห็นได้จาก สัดส่วนการลงทุนในงบประมาณ และสัดส่วนการลงทุนรวมใน GDP ไม่เพียงพอ อีกทั้งด้านการส่งออก ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งปรากฏว่าสินค้าส่งออกกลายเป็นเครื่องจักรเก่าทางเศรษฐกิจ เป็นสินค้าล้าสมัยไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดโลกในปัจจุบัน ในขณะที่รัฐบาลมี “นโยบายจะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ”
สว.สถิตย์ ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลจะมีนโยบายเชิงโครงสร้าง ทำให้เศรษฐกิจโตเต็มศักยภาพ หรือมากกว่านั้นได้อย่างไร?”
ด้านที่ 2 การเติบโตอย่างทั่วถึง
การเติบโตที่ดี ต้องเป็นธรรมและทั่วถึง ทั้งมิติค่าสัมประสิทธิ์ความเสมอภาค มิติรายได้ มิติรายจ่าย และมิติเชิงพื้นที่ซึ่ง 15 จังหวัดขนาดใหญ่มีสัดส่วนใน GDP ถึงร้อยละ 70 ขณะที่อีก 62 จังหวัดที่เหลือ มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 30 นอกจากนี้ระเบียงเศรษฐกิจทั้ง ระเบียงฯภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง-ภาคตะวันตก และภาคใต้ ยังขาดการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบาย“จะพัฒนาพื้นที่ และเมืองให้เกิดการกระจายความเจริญ และกิจกรรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาค”
สว.สถิตย์ ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลจะมีเป้าหมาย ในการลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ ให้กับ 62 จังหวัดที่เติบโตน้อยได้อย่างไร?” - “ใน 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลได้
“ดำเนินการผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาคอย่างไร และมีแผนที่จะดำเนินการต่อไปอย่างไร?” และ “รัฐบาลมีนโยบายและแผนที่จะจัดสรรรายได้ท้องถิ่นให้ถึงร้อยละ 35 ของรายได้รัฐบาลหรือไม่ อย่างไร?”
ด้านที่ 3 ซอฟต์พาวเวอร์
ซอฟต์พาวเวอร์ตามตำรามี 3 เรื่อง คือ ค่านิยมการเมือง นโยบายต่างประเทศ และวัฒนธรรม ประเทศไทยคงต้องเน้นหนักไปทางด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์ เพื่อโน้มน้าวจูงใจให้ประเทศอื่นคล้อยตามโดยสมัครใจ อันเป็นลักษณะของซอฟต์พาวเวอร์หรืออำนาจนุ่มนวลที่ไม่ต้องใช้กำลังทหาร หรือการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น อำนาจแข็งกร้าว หรือฮาร์ดพาวเวอร์
สำหรับ 11 สาขาที่รัฐบาลจำแนกไว้ ต้องมองโดยรวมอย่างบูรณาการเพื่อสะท้อน “ความเป็นไทย” ให้ประเทศอื่นหลงใหลยอมทำตามสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของไทย โดยไม่ต้องบังคับ เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่นที่ส่งเสริม Cool Japan ไม่ว่าจะเป็นอาหาร แฟชั่น ภาพยนตร์ ก็อยู่ในธีมของ Cool Japan หรือเกาหลีที่เน้นธีม Korean Wave หรือคลื่นเกาหลี ไม่ว่าจะเป็น K-Drama K-Pop K-Cultureด้วยเหตุนี้ ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยจะต้องมุ่งเน้นไปที่ “ความเป็นไทย”
ซอฟต์พาวเวอร์ คือ หนทางในการนำทุนทางวัฒนธรรมไปสู่ความสำเร็จในเวทีโลก พัฒนาวัฒนธรรมไทยให้มีความเป็นสากลระดับโลก เอารสนิยมความต้องการตลาดโลกเป็นที่ตั้ง และปรับความเป็นไทยให้สอดคล้องกับตลาดโลก ต้องตั้งเป้าหมายการส่งออกวัฒนธรรมสร้างสรรค์ให้เป็นรายได้หลักของประเทศ ต้องทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ ของไทยโดดเด่นในโลกท่ามกลางคู่แข่งที่สำคัญ
สว.สถิตย์ ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลมีนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ในการบูรณาการนโยบาย ซอฟต์พาวเวอร์ 11 สาขาอย่างไร และได้มีการพัฒนาทักษะ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ไปแล้วมากน้อยเพียงใด ผ่านกลไก หรือหน่วยงานใด และรัฐบาลจะดำเนินการจัดตั้ง THACCA เมื่อใด โดยวิธีการใด?”
ด้านที่ 4 รัฐบาลดิจิทัล
ดิจิทัลเทคโนโลยี คือพลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสมหาศาลให้กับรัฐบาลทั่วโลก สร้างความมั่นคงให้ประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ ในขณะเดียวกันก็ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่รัฐบาลต้องผลักดัน คือ บัตรประชาชนดิจิทัลและเป็นบัตรเดียวที่ใช้ยืนยันตัวตน ในการติดต่อรับบริการภาครัฐ ทั้งสวัสดิการ การเงิน สุขภาพ การศึกษา การเดินทาง เป็นต้น
สว.สถิตย์ ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลจะผลักดันการใช้ดิจิทัลไอดี ให้ครบถ้วนทุกหน่วยงานภาครัฐ เมื่อใด อย่างไร และจะผลักดันให้บูรณาการ การใช้คลาวด์หรือไม่ อย่างไร และจะรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลมาไว้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่ อย่างไร”
ด้านที่ 5 การพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
การก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางของประเทศต่างๆ อาทิ อิตาลี ใช้อุตสาหกรรมอาหาร การท่องเที่ยว และ SME ไต้หวัน เน้นอุตสาหกรรมไฮเทค และ SME, ส่วนเกาหลี จากอุตสาหกรรมหนักไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้านมาเลเซียมีวิสัยทัศน์ 2020 ใช้อุตสาหกรรมไฮเทคเป็นตัวนำ, เวียดนามและอินโดนีเซีย ประกาศจะพ้นกับดักรายได้ปานกลางในปี ค.ศ. 2045 ครบ 100 ปี หลังจากได้รับเอกราช ส่วนประเทศไทย แต่เดิมมีวิสัยทัศน์จะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางในปี พ.ศ. 2580 แต่มาสะดุดกับสถานการณ์โควิด-19 คงต้องขยายเวลาออกไป
สว.สถิตย์ ตั้งคำถามว่า “รัฐบาลจะมีวิสัยทัศน์ และเป้าหมาย ในการทำให้ประเทศพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางหรือไม่ อย่างไร และเมื่อใด?”
ทั้งหมด ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม จับต้องได้ มีกำหนดแผนการแน่ชัด จากฝ่ายรัฐบาล
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี