จากเหตุการณ์ครูผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงในระหว่างกำลัง “เข้าเวร” ที่โรงเรียนบ้านโป่งเกลือ ต.ดอยลาน อ.เมือง จ.เชียงรายเมื่อวันเสาร์ที่ 20 ม.ค.2567 เกิดประเด็นคำถามว่า ทำไมครูต้องไปเข้าเวร?
เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของครูหรือไม่?
โดยที่ “ครูเวร” ก็ไม่มีศักยภาพจะไปต่อสู้ป้องกันทรัพย์สินทางราชการได้จริงๆ
และหากต้องการป้องปรามขโมยขโจรก็สามารถใช้เทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิดก็ได้หรือไม่? ฯลฯ
หลังจากนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้มีนโยบายยกเลิกการให้ครูเข้าเวร
โดยให้ทางโรงเรียน ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ตำรวจ ฯลฯ ร่วมกันกำหนดมาตรการดูแล
ขณะเดียวกัน ก็ผลักดันอัตราการจ้าง “ภารโรง” ให้กับทุกโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกโรงเรียนกลับมามีภารโรง คอยทำหน้าที่ดูแลงานจิปาถะ ดูแลสภาพแวดล้อมโรงเรียน รวมถึงการสอดส่องความปลอดภัยเบื้องต้นด้วย
1. การประชุม ครม.ล่าสุด (26 มี.ค.2567) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการจ้างนักการภารโรงให้ครบทุกโรง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
กรอบวงเงินงบประมาณ 2,739.96 ล้านบาท
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ
2. กระทรวงศึกษาธิการ รายงานต่อที่ประชุม ครม. สรุปว่า
เดิมโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีนักการภารโรงครบทุกโรงเรียน แต่หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 ก.ย.2546) ส่งผลให้ทุกส่วนราชการยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำทุกตำแหน่ง
ซึ่งลูกจ้างประจำของ ศธ. ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่ง “นักการภารโรง” ที่คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ (คพร.) ไม่ได้กำหนดเป็นฐานรองรับกรอบพนักงานราชการ จึงไม่ได้จัดสรรอัตราและงบประมาณจ้างทดแทนให้แก่ สพฐ. ส่งผลให้จำนวนอัตรานักการภารโรงลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา
ประกอบกับที่ผ่านมา สพฐ. ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณในการจ้างเหมาบริการนักการภารโรงทดแทนให้เพียงพอตามตำแหน่งที่ถูกยุบเลิกไป โรงเรียนจำนวนมากจึงไม่มีนักการภารโรงหรือมีไม่เพียงพอ
ขาดการดูแลด้านความปลอดภัย สุขภาวะของนักเรียน และสภาพแวดล้อมของโรงเรียน
ครูจึงต้องเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ซึ่งส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น โรงเรียนทุกแห่ง จึงควรมีนักการภารโรงเพื่อให้โรงเรียนเป็นสถานที่ที่สะอาด ปลอดภัยและเอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
3. โรงเรียนในสังกัด สพฐ. ข้อมูลจากระบบจัดเก็บข้อมูลนักเรียนรายบุคคล (Data Management Center: DMC) ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ทั้งหมด 28,936 โรงเรียน (1 โรงเรียนมีนักการภารโรง 1 คน)
เป็นโรงเรียนที่มีนักการภารโรง/ผู้ปฏิบัติหน้าที่นักการภารโรง จำนวน 14,726 อัตรา โดยสามารถจำแนกผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นักการภารโรงได้ ดังนี้
(1) ลูกจ้างประจำที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนักการภารโรง จำนวน 4,384 อัตรา
(2) พนักงานราชการปฏิบัติหน้าที่นักการภารโรง จำนวน 112 อัตรา
(3) นักการภารโรง (จ้างเหมาบริการอัตราละ 9,000 บาทต่อเดือน) จำนวน 10,230 อัตรา
ที่เหลือ เป็นโรงเรียนที่ขาดแคลนผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่งนักการภารโรง จำนวน 14,210
รวมทั้งหมด 28,936 อัตราภารโรง
4. งบประมาณที่ได้รับจัดสรรประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2566
รายการค่าจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ ตำแหน่ง “นักการภารโรง” ดังนี้
อัตรา 9,000 บาทต่อเดือน x จำนวนนักการภารโรงแต่ละปี (เฉพาะโรงเรียนที่มีนักการภารโรง) x 12 เดือน
5. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กระทรวงศึกษาธิการ (โดย สพฐ.) ได้เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณ ดังนี้
(1) ขอรับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,085.13 ล้านบาท สำหรับจ้างนักการภารโรง จำนวน 10,230 คน ซึ่งเป็นนักการภารโรงจ้างเหมาบริการตามอัตราจริงที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
(2) ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 639.45 ล้านบาท เพื่อจ้างนักการภารโรงจ้างเหมาบริการ เฉพาะส่วนที่ขาดแคลนอีก 14,210 คน ให้ครบทุกโรงเรียน (จำนวน 5 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน พ.ศ. 2567)
6. สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 การจ้างเหมาบริการนักการภารโรง กระทรวงศึกษาธิการ (โดย สพฐ.) ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายจากความต้องการนักการภารโรงทั้งหมด เพื่อให้มีนักการภารโรงครบทุกโรงเรียน (เสนอในครั้งนี้) สรุป ดังนี้
7. จะเห็นได้ว่า ตำแหน่ง “ภารโรง” เพื่อให้ทุกโรงเรียนได้มีภารโรงไว้ทำหน้าที่ 1 คน นั้น ก็มีต้นทุนที่ต้องจ่ายจากเงินภาษีของประชาชนทั่วประเทศ
แต่เมื่อพิจารณาถึงความคุ้มแล้ว กระทรวงศึกษาธิการชี้ว่า มีประโยชน์คุ้มค่า
เพราะจะช่วยให้ครูสามารถทำหน้าที่หลักในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลให้เกิดการยกระดับคุณภาพการศึกษา
มีนักการภารโรงดูแลสภาพแวดล้อม ระบบสาธารณูปโภคและทรัพย์สินของทางราชการ รวมถึงสร้างความปลอดภัยแก่ครูและนักเรียน
อีกทั้ง ยังเกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ และเกิดเงินหมุนเวียนในระบบบเศรษฐกิจ
8. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าครม. มีมติ อนุมัติการขอรับจัดสรรงบประมาณ สำหรับการจ้างเหมาบริการนักการภารโรง และเห็นชอบหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เฉพาะปีงบ พ.ศ. 2568 โดยให้กระทรวงศึกษาธิการใช้งบประมาณในการจ้างภารโรงอย่างคุ้มค่า โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ สำหรับระยะต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการนำเทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิด มาช่วยดูแลความปลอดภัยแทนการเพิ่มกำลังคน ซึ่งสืบเนื่องจากการยกเลิกเวรครู เมื่อช่วงระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา
พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพิ่มเติมว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบการจ้างนักการภารโรงให้ทุกโรงเรียนที่ขาด จำนวน 14,210 อัตรา เป็นเงิน 639,450,000 บาท ในอัตรา 9,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะอยู่ในปีงบประมาณ 2568 เช่นเดียวกัน
“..แต่ในส่วนของงบประมาณปี 2567 กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของบประมาณจัดจ้างนักการภารโรง กระทรวงฯจึงได้จัดทำคำของบเพิ่มเติมไปยังนายกรัฐมนตรี และเท่าที่ทราบนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในส่วนของงบจ้างนักการภารโรงของปี 2567 แล้ว โดยจะนำการจัดทำคำของบเพิ่มเติมไปที่สำนักงบประมาณและจะเสนอให้ที่ประชุมครม.พิจารณา อีกครั้ง” – รมว.ศึกษาธิการกล่าว
สรุป สำหรับการแก้ปัญหาเพื่อให้ทุกโรงเรียนมีนักการภารโรง 1 อัตรานี้ จำนวนรวม 28,756 คน
ขอสนับสนุนให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ ในเรื่องที่จำเป็นและเกิดประโยชน์จับต้องได้เช่นนี้
ดีกว่าจะเอาเงินแผ่นดินไปละเลง ละลายน้ำในเรื่องอื่นๆ
จะเป็นเครื่องพิสูจน์ด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องครูเวรแบบผักชีโรยหน้า แต่ดำเนินการอย่างตั้งใจ เอาจริง คำนึงภาพรวมระบบการศึกษา และให้ความสำคัญกับการพัฒนาสถานศึกษาของลูกหลานอย่างแท้จริง
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี