ถามว่า ตระกูลฮุนเซนไม่มีปัญญาพัฒนาประเทศให้คนเขมรอยู่ดีกินดีแล้วหรือ ถึงต้องมาหาเรื่องเขตแดนกับไทย ทั้งๆที่ ตลอดสมัยรัฐบาลลุงตู่ที่ผ่านมา ทำไมไม่เคยสร้างปัญหาขึ้นมาแบบตอนนี้เลย?

ถามว่า ยุคนี้ ไทยเรากลายมาเป็นประเทศไว้รองมือรองตีน เป็นกระโถนให้ผู้นำเขมรถ่มถุยขู่ขากใส่ง่ายๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่?

1.เมื่อวานนี้ (15 มิถุนายน 2568) ตรงกับวันครบรอบ 63 ปี แห่งคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา (15 มิถุนายน 2505)

ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา บุตรชายของสมเด็จฮุนเซน ส่งทีมทนายความยื่นเรื่องต่อศาลโลก เพื่อขอให้พิจารณา 4 พื้นที่พิพาทที่กัมพูชาอ้างสิทธิ ได้แก่ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย โดยยื่นจดหมายอย่างเป็นทางการไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แล้ว

ฮุน มาเนต ยืนกรานว่า กัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลโลก ไม่สนว่าฝ่ายไทยจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ตาม

2.ขณะเดียวกัน เขมรก็ตีสองหน้า แสร้งร่วมประชุมทวิภาคีกับฝ่ายไทยไปด้วย

แล้วยังมีพฤติกรรมลักไก่ เล่นใหญ่เกินเบอร์ เดินหมากใส่ร้ายป้ายสีไทยว่ายิงก่อน โกหกว่าทหารตนขุดคูเลตอยู่มาตั้งแต่ก่อนปี 2543 ข่มขู่ว่าไทยไม่ไปศาลโลกชายแดนจะเป็นเหมือนกาซา

แสดงฤทธิ์เดช วางตนข่มไทยอย่างต่อเนื่อง ชิงประกาศยกเลิกซื้ออินเตอร์เนตจากไทย ไม่ง้อกระแสไฟฟ้าจากไทย ปิดด่านบางด่าน แบนละครไทย เรียกแรงงานเขมรกลับบ้าน

สมเด็จฮุนเซนประกาศนำ นายกฯฮุน มาเนต เดินตามต้อยๆ

ฮุนเซน ขู่ว่าเตรียม 6 มาตรการเด็ดขาด ตอบโต้ไทย หากไทยไม่ยอมเปิดจุดผ่านแดน (ทั้งๆ ที่ ไทยเราแค่ห้ามนักพนันข้ามด่านไปเล่นบ่อนกาสิโนปอยเปต ส่วนด่านอื่นๆ ยังไม่ได้ปิด แค่จำกัดเวลาผ่านด่าน แถมอะลุ้มอล่วยสำหรับเด็กนักเรียน)

6 มาตรการ ได้แก่

1.ประกาศระงับการนำเข้าสินค้าจากไทยสู่ตลาดกัมพูชา

ความจริง สินค้าและบริการไทยเป็นที่นิยมในเขมร เพราะคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล ไม่แพง ถ้ารัฐบาลเขมรกีดกันสินค้าไทย ชาวเขมรเองจะต้องจ่ายแพงขึ้นแถมได้ของคุณภาพแย่ลงจากสินค้าแหล่งอื่น

2.เตรียมแผนการซื้อสินค้าส่วนใหญ่ที่เคยส่งออกไปยังไทย

ความจริง ขณะนี้ เขมรถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐ ถ้าไม่ขายของให้ไทยจะไปหาตลาดที่ไหน ตลาดจีนก็กำลังซื้อหดหาย ที่สำคัญ คุณภาพสินค้าเขมรสู้ต่างชาติในตลาดโลกไม่ได้เลย การท่องเที่ยวในเขมรก็พึ่งพานักท่องเที่ยวไทยมากถึง 1 ใน 3

3.ส่งต่อผู้ป่วยที่เคยขอรับการรักษาจากไทยให้ไปยังโรงพยาบาลในประเทศ หรือในประเทศอื่น

ความจริง ปีที่แล้ว มีชาวเขมรตามแนวชายแดน ได้อาศัยข้ามมาใช้บริการโรงพยาบาลไทยจำนวนมาก ถ้าห้าม คนที่เดือดร้อนคือชาวเขมรเอง ในขณะที่ตระกูลฮุนเซนไม่เดือดร้อน เพราะมีเงินทองมหาศาล บินไปรักษาตัวตามโรงแรมหรูๆ ในต่างประเทศได้

4.เตรียมแผนการรับแรงงานเขมรที่อาจจะต้องกลับจากไทย

ความจริง แรงงานเขมรมาทำงานในไทยโดยสมัครใจ กว่า 5 แสนคน เพราะค่าแรงดีกว่าในเขมร ชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่า มีเงินทองส่งกลับไปเลี้ยงดูครอบครัวในเขมร ถ้ากลับไปทำงานในเขมรก็จะมีตำแหน่งงานมารองรับได้เพียงพอในระยะเวลาอันสั้นจริงหรือรายได้จะหดหายไปรวมแล้วมหาศาล ส่วนไทยอาจได้รับผลกระทบระยะสั้น แต่ยังมีแหล่งแรงงานจากประเทศลาว เมียนมา และรวมถึงการใช้เครื่องจักร หุ่นยนต์ เอไอ ฯลฯ ทดแทน

5.ทุกกองกำลังทหารพร้อมรบตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อพร้อมรับมือและปกป้องหากเกิดการรุกราน

ความจริง ไทยไม่เคยรุกรานกัมพูชาเลย มีแต่ฝ่ายนักการเมืองเขมรกล่าวหา ใส่ร้าย หวังสร้างกระแสให้คนเขมรยังสนับสนุนรัฐบาลตระกูลฮุนต่อไป

6.เตรียมพร้อมที่จะอพยพประชาชนเขมรในจังหวัดชายแดนไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย

ความจริง กัมพูชาเองขนทหารและอาวุธหนักเข้ามาประชิดชายแดนจำนวนมาก หันปากกระบอกปืนใหญ่เล็งมาฝั่งไทย

ล่าสุด รัฐบาลเขมรห้ามนำเข้าละครไทย ภาพยนตร์ไทย และหยุดฉายภาพยนตร์ไทย ละครไทย ทั้งในโทรทัศน์และโรงหนังทั้งหมดในกัมพูชา

น่าสังเกตว่า การชิงประกาศหยุดซื้ออินเตอร์เนตและไฟฟ้าจากไทย แท้จริง เกิดผลกระทบกับคนกัมพูชาและธุรกิจกัมพูชา แต่เกิดผลประโยชน์ส่วนตัว และเพิ่มอำนาจทางธุรกิจแก่เครือข่ายธุรกิจตระกูลผู้มีอำนาจในกัมพูชาเอง

ทั้งๆ ที่ฝ่ายไทยล็อกเป้าไว้เฉพาะธุรกิจกาสิโนและอาชญากรรมออนไลน์ในเขมรเท่านั้น

ตอกย้ำรายงานของ United States Institute of Peace เรื่องอาชญากรรมข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ในปี 2023 สแกมเมอร์ หรืออาชญากรออนไลน์ สามารถหลอกเงินจากผู้คนทั่วโลกไปได้ประมาณ 64,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.24 ล้านล้านบาท แต่ในทั้งหมดนี้ อาชญากรที่อยู่ในกัมพูชาได้เงินจากการสแกมไปมากถึง 437.5 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่แล้วเงินนั้นตกไปอยู่ที่กลุ่มคนชั้นสูงในท้องถิ่นเป็นเจ้าของธุรกิจ

เรียกว่า กัมพูชาเป็นแหล่งอุตสาหกรรมสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ สร้างรายได้ 400,000-620,000 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของ GDP หรือมากกว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เป็นอุตสาหกรรมหลักเดิมเสียอีก

นอกจากนี้ ก็มีกาสิโนเป็นแหล่งฟอกเงิน นำเงินผิดกฎหมายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฟอกเป็นเงินสะอาด อัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจ

แน่นอนว่า รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธรายงานนี้ว่ากล่าวเกินจริง

3.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรมว.การต่างประเทศ ระบุว่า

“...ถามว่า ทําไมกัมพูชาทำแบบนี้

คือ เพราะกัมพูชาทําแบบนี้เสมอ เวลามีปัญหาในประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจ ตอนที่จะต้องมีการเลือกตั้งภายใน เขาก็จะใช้ภัยคุกคามจากต่างประเทศเข้ามาอ้างตลอด ก็มีความเป็นไปได้ว่า พล.อ.ฮุน มาเนต อาจจะยังไม่มีแรงควบคุมในประเทศมากพอนัก ก็เลยอาจจะอยากเพิ่มแรงรักชาติเข้ามาช่วยสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชา 

อีกประเด็น เขาอาจจะเห็นว่า การเมืองไทยอ่อนแอ มีทั้งเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี  มีเรื่องพรรคไหนจะเข้าไม่เข้า ข้าราชการทั้งหลายก็เกียร์ว่างกันมาหลายเดือนแล้ว เขาก็ดูว่าใครจะมา ใครจะไป เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้ว

อีกประการที่บอกว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุด ก็คือว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพิ่งจะไปเยือนเขา ถ้าจะถามว่าจีนรักใครมากกว่าระหว่างไทย กัมพูชา ก็คงให้ความสําคัญกับไทยมากกว่า แต่ว่าตอนนี้เขาอาจจะใกล้ชิดกัมพูชามากกว่า อย่างน้อยที่สุดในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์แล้วเขาก็เพิ่งเอามาให้ทางกัมพูชา จริงๆ เขาก็ต้องรู้ว่า ถึงแม้เราใกล้ชิดกับจีน แต่เราก็ทําอะไรหลายอย่างที่จีนไม่พอใจ และเราก็ทําอะไรหลายอย่างให้จีนพอใจและอเมริกาไม่พอใจ เพราะฉะนั้น เขาก็รู้แล้วว่าความใกล้ชิดของเรากับประเทศมหาอํานาจที่จะเข้ามาช่วยเรามันไม่ถึงขนาดนั้น

อีกประการ คือ เศรษฐกิจไทยก็ไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้น พอเขาบีบเรื่องเศรษฐกิจขึ้นมา มันก็ต้องมาคิดถึงเรื่องความคุ้มค่าที่เสียไป กับการแลกพื้นที่ตรงนั้น เราก็ต้องมาดูไพ่ที่มี ทั้งการ
ตัดอินเตอร์เนต ไฟฟ้าทั้งหลาย มันไปที่กระเป๋าของใครในกัมพูชา

ในขณะเดียวกัน ฮุนเซนออกมาพูดว่า ถ้าขืนไทยยังทำอย่างนี้ จะเปิดเผยว่า เวลานักการเมืองไทยหนีออกไปทางช่องทางธรรมชาติ เขาไปกันยังไง คือ เขาก็รู้ไพ่หมด และเขาก็จี้ได้หมด อย่างน้อยก็ในหัวใจของรัฐบาลไทย…”

4.Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ยืนยันว่า

“...โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย จึงขอแถลงว่า จีนยึดมั่นในหลักการแก้ไขข้อพิพาทโดยผ่านการเจรจาและปรึกษาหารือกัน เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ไทยและกัมพูชาล้วนเป็นมิตรประเทศที่บ้านใกล้เรือนเคียงของจีน จีนหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะใช้ความยับยั้งชั่งใจ ส่งเสริมการพูดคุยสื่อสารและเจรจากัน เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ว ทั้งนี้ จีนยินดีที่จะประสานกับทั้งไทยและกัมพูชาต่อไป และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค”

ล่าสุด แฟนเพจ บูรพาไม่แพ้ ได้เปิดเผยข่าวสารเชิงลึก ระบุว่า

“จีนจะทบทวนซ้อมรบร่วมกัมพูชา เพื่อลดความตึงเครียดกับไทย

แหล่งข่าวทางการทูตระบุว่า รัฐบาลปักกิ่งตระหนักถึงความอ่อนไหวของสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างกัมพูชา-ไทย ซึ่งกัมพูชาและจีนจะซ้อมทางทะเลด้วยกระสุนจริง วันที่ 11-13 มิ.ย.

กัมพูชาพยายามอ้างว่า “จีนสนับสนุน” ทั้งๆ ที่จีนมีจุดยืนมาตลอดว่า จะไม่เลือกข้าง หรือเข้าไปแทรกแซง ในเรื่องที่จีนไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรง

จีนกำลังทบทวนการฝึกซ้อมทางทะเลด้วยกระสุนจริง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการซ้อมรบ Golden Dragon 2025 โดยหวังว่าจะลดบรรยากาศ ที่ถูกมองว่ากัมพูชาแอบอ้างอำนาจของจีน เพื่อข่มขู่ประเทศไทย

ภาษาจีนมีภาษิต 狐假虎威 (หูเจี้ยหู่เวย) หมายถึง “หมาจิ้งจอกยืมบารมีเสือ” มาข่มขู่คนอื่น หมาจิ้งจอกเอาหนังเสือมาคลุมร่าง เบ่งไปทั่วป่า ทั้งๆ ที่ ตัวเองเป็น หมา”

5.ทหารไทยยืนหยัดเกิน 100%

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า การจะขึ้นศาลโลก ต้องเห็นพ้องด้วยกันทั้งสองฝ่าย ศาลโลกจึงจะรับไว้พิจารณา แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับศาลโลก ก็ไม่รับพิจารณา ซึ่งรัฐบาลไทย จะใช้วิธีนี้

“ไม่ต้องห่วงว่า จะต้องขึ้นศาลโลก พี่บอกรัฐบาลไปไม่ต้องขึ้นศาลโลก ไม่เกี่ยว

แผ่นดินกู อยู่ตรงนี้มานานแล้ว ถ้าจะเอา ก็ดวลกัน จบไม่เห็นจะยากอะไร

ถ้าคำพูดนี้ไปถึงฮุนเซน ก็สวนมาอีก” พล.ท.บุญสินกล่าว

6.กองบัญชาการกองทัพไทย ได้เปิดเผยภาพถ่ายทางอากาศและภาพประวัติศาสตร์ของพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ช่องบก จ.อุบลฯ รวมถึงเนิน 574, 641, 745 ตั้งแต่ปี 2520 จนถึงปัจจุบัน เพื่อยืนยันว่าไม่พบการวางกำลังทหารกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2520-2539 และ 2546-2567

ภาพหลักฐานแสดงให้เห็นว่าทหารกัมพูชาเพิ่งเข้ามารุกล้ำวางกำลังเมื่อช่วงต้นปี มีนาคม-เมษายน 2568 เท่านั้น ไม่ได้เข้ามาอยู่นานหรือยึดครองพื้นที่มาก่อนการทำ MOU ปี 2543 ตามที่อดีตนายกฯฮุนเซนกล่าวอ้าง

พบว่ากัมพูชาเริ่มตั้งฐานทหารและขุดคูเลตในเดือนเมษายน 2568 และใช้รถแบ๊กโฮปรับพื้นที่เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ล่าสุดยังพบการตัดต้นพญาสัตบรรณขวางถนนเพื่อปิดกั้นเส้นทางทหารไทยด้วย

ซึ่งจุดปะทะครั้งล่าสุด 28 พ.ค.นั้น อยู่ภายในเขตไทยอย่างชัดเจน

ความจริง ฝ่ายกัมพูชาเอง เมื่อเจรจากับกองกำลังสุรนารี ก็เห็นชอบการ “ปรับการวางกำลัง” เพื่อลดการเผชิญหน้าโดยถอยกลับไปยังจุดที่เคยอยู่ในปี 2567 พร้อม “กลบคูเลต” กลับไปสู่สภาพเดิม

นอกจากนี้ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ อยู่ในเขตประเทศไทยแน่นอน และเป็นโบราณสถานของไทยมาเกือบ 100 ปีแล้ว

“ปราสาทตาเมือนธม” ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากร เป็นโบราณสถานของชาติไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1935) หรือกว่า 90 ปีที่ผ่านมา ยาวนานก่อนที่ประเทศกัมพูชาจะได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) และได้รับการยอมรับจากองค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955)

ประเทศไทยได้แสดงความรับผิดชอบต่อมรดกวัฒนธรรมในพื้นที่ชายแดนแห่งนี้มาโดยต่อเนื่อง ยาวนาน และเปิดเผย ทั้งในแง่การขึ้นทะเบียน การบูรณะ การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยว และการดูแลโดยภาครัฐผ่านหน่วยงานที่ชัดเจน อย่างสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กัมพูชาก็รับทราบและยอมรับมาก่อนหน้านี้

7.กล่าวโดยสรุป... ฝ่ายผู้นำเขมรพยายามเล่นไพ่ลักไก่ โกหกตบตาว่าถูกรุกราน ถูกยิงก่อน แล้วรีบยกตนข่มไทย ปิดด่านบางด่าน ประกาศเลิกซื้อเนตจากไทย เตรียมขนย้ายแรงงานเขมร จนทหาร-ขนอาวุธมาจ่อชายแดนไทย คุยโม้เสมือนว่าจีนหนุนหลัง ข่มขู่คุกคามหยามหมิ่นไทย เอาเรื่องไปศาลโลกฝ่ายเดียว ฯลฯ เพื่อหวังสร้างอำนาจต่อรอง สร้างกระแสหลอกคนกัมพูชาให้ค้ำจุนฐานอำนาจตระกูลฮุนในกัมพูชาต่อไป

พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 แสดงจุดยืนเด็ดขาด ภายใต้แนวทางของกองทัพไทย “ถ้าพบว่าฝ่ายกัมพูชาเติมกำลังทหารในพื้นที่อีก จะดำเนินมาตรการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด”

การเพิ่มมาตรการความเข้มข้นทางชายแดน ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม เพื่อกดดันให้เจรจา เพื่อรักษาอธิปไตย

โชคดี... ประเทศไทยยังมีกองทัพที่เข้มแข็ง ไม่ใช่เป็นเหมือนพวกที่ด้อยค่าบ่อนทำลายกองทัพว่า “ทหารมีไว้ทำไม-ถึงไปรบก็ไม่ชนะ-ไม่มีใครรบกันแล้ว-บางประเทศใช้เรือประมงแทนเรือรบ ฯลฯ”

แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยังต้องพิสูจน์ตนเอง โดยตระหนักว่า

“…การเจรจาที่ถูกต้อง ไม่ใช่การยอมจำนน

การรักษามิตรภาพ ไม่ใช่การยอมให้ใครย่ำยี

และการรักสันติ ไม่ควรแลกมากับการเสียอธิปไตย

ถึงเวลาหรือยัง ที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้จะลุกขึ้นทบทวนว่า ตำแหน่งที่ท่านยืนอยู่ทุกวันนี้นั้น ท่านได้มาเพราะประชาชนไทยไว้วางใจพวกท่าน เพื่อให้เข้ามาปกป้องรักษาอธิปไตยและ
ผลประโยชน์ของชาติเพื่อประชาชนไทย ไม่ใช่เพื่อให้ท่านนำ “ศักดิ์ศรีของชาติและประชาชน” ไปให้ใครย่ำยี หรือนำ“ผลประโยชน์ของชาติ” ไปแบ่งให้ใครอื่น...”

สันติสุข มะโรงศรี