บทสรุปผลกรรมของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากการละเว้น ปล่อยปละละเลย เพิกเฉย ไม่ใช้อำนาจหน้าที่ของตนในการติดตามแก้ไขการทุจริตในโครงการจำนำข้าว เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐโดยทุจริต หรือจีทูจีเก๊
คือ ต้องโทษจำคุก 5 ปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 10,028 ล้านบาท แก่กระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษาชี้ขาดของศาลปกครองสูงสุด
1. ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการจำนำข้าว จำนวน 10,028 ล้านบาท
อันที่จริง น้อยกว่าคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 สั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717 ล้านบาท
เป็นเพราะศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์สมควรจ่ายชดใช้เฉพาะค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ 4 สัญญาในยุคยิ่งลักษณ์ และให้รับผิดชอบเพียง 50% ของมูลค่าความเสียหายนั้น จึงคิดเป็นเงิน 10,028 ล้านบาท
2. ร่วมรับผิดชอบเฉพาะการปล่อยให้ขายข้าวจีทูจีเก๊ 4 สัญญา
ที่ฝ่ายยิ่งลักษณ์พยายามอ้างว่า ยังมีข้าวในโกดัง ขายได้เงินกลับคืนมา หรือยกเอาข้าวที่ระบายล่าสุดในยุครัฐมนตรีภูมิธรรมมาอ้างว่าขายได้ราคาดี ฯลฯ ล้วนเป็นการตะแบงตบตาคนที่ไม่รู้เรื่องเท่านั้นเอง
ศาลปกครองสูงสุดให้ยิ่งลักษณ์ร่วมชดใช้ค่าเสียหายจากการขายข้าวจีทูจี 4 สัญญา ที่ทำในสมัยยิ่งลักษณ์เท่านั้นไม่ได้ให้ยิ่งลักษณ์รับผิดชอบค่าเสียหายจากการขายข้าวล็อตอื่นๆ เลย และยังไม่ได้ให้ร่วมรับผิดชอบความเสียหายมหาศาลของจำนำข้าวทั้งโครงการด้วยซ้ำไป
ความจริง คือ การระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เป็นขั้นตอนหนึ่งในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ถ้ายิ่งลักษณ์ไม่ปล่อยให้ทุจริตในขั้นตอนระบายข้าว ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่กรณีนี้ ทั้ง สตง. ป.ป.ช. สส.อภิปรายในสภา นายกฯยังละเว้น ปล่อยปละละเลย เพิกเฉย ให้ขายข้าวจีทูจี 4 สัญญานั้นต่อไป จนเกิดความเสียหาย
การขายข้าวจีทูจีทุจริตนี้ ทำให้ชาวนาตัวจริงเสียหายด้วยซ้ำ เพราะขายราคาต่ำกว่าท้องตลาด แถมรัฐบาลขณะนั้นยังติดค่าเงินค่าข้าวชาวนาจำนวนมาก จนมีชาวนาผูกคอตาย
ค่าเสียหาย จากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ มีความเสียหาย จำนวน 20,057,723,761.66 บาท
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคําพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หมายเลขแดงที่ อม.211/2560 ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงออกโดยชัดแจ้ง อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวก แสวงหาประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว โดยการแอบอ้างนําบริษัท กว่างตง จํากัด และบริษัท ห่ายหนาน จํากัด เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดตามประกาศกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตได้ค่าส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขายจำนวน 4 ฉบับ
3. ความจริงข้าวจีทูจีเก๊ 4 สัญญา
ขบวนการโกงข้าวจีทูจี เหมือนผีปอบที่กัดกินไส้พุงโครงการจำนำข้าว
ส่วนนี้ มีแต่ทำให้ชาวนาเสียประโยชน์ ประเทศชาติเสียหาย เป็นเหมือนปลิงดูดเลือดชาวนา
ในที่สุด โครงการก็พังพาบ ขาดทุนไส้ในมหาศาล รัฐบาลต่อๆ มาต้องตามใช้หนี้หลายแสนล้านบาท (ปัจจุบันยังติดหนี้ ธ.ก.ส.อยู่เกือบ 2 แสนล้านบาท)
นักการเมืองและข้าราชการโกงข้าวจีทูจี ติดคุกติดตะรางกันไปบ้าง หนีไปบ้าง
กลโกงข้าวจีทูจียุคนั้น ทำให้พ่อค้าและนักการเมืองเป๋าตุง ทำถึงขนาดเสนอแผนยุทธศาสตร์ขายข้าวจีทูจีกันแบบเก๊ๆ ก่อนเริ่มโครงการไม่กี่วัน ไม่เอาเข้าที่ประชุมนโยบายข้าว
ก่อนเริ่มโครงการจำนำข้าวเมื่อ 7 ต.ค. 2554 เร่งทำสัญญาขายข้าวแบบจีทูจีไปจำนวน 2 สัญญา อย่างรีบร้อน เป็นการขายล่วงหน้าโดยที่ยังไม่ได้ซื้อข้าวมาจากชาวนา ข้าวยังอยู่ในแปลงนาของชาวนาด้วยซ้ำ แต่ตกลงขายจีทูเจี๊ยะในราคาถูกกว่าท้องตลาดให้พ่อค้าไว้ก่อนแล้ว
หลังจากนั้น ยังปล่อยให้ทำสัญญาจีทูจีเพิ่มอีก 6 ฉบับ รวมเป็น 8 ฉบับ ปริมาณรวมกว่า 20 ล้านตัน
ขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด
ส่งมอบหน้าโกดัง ไม่ใช่ท่าเรือ
จ่ายเงินเป็นแคชเชียร์เช็ค ไม่ต้องเปิด แอลซี
มีการแก้ไขสัญญากันหลายครั้ง เอกชนได้ประโยชน์ รัฐเสียประโยชน์
เอกชนที่มารับข้าว ก็คือบริษัทค้าข้าวที่ติดต่อจ่ายเงินให้เครือจ่ายเสี่ยเปี๋ยงนั่นเอง ไม่ใช่ตัวแทนรัฐบาลจีน
4. วิธีคำนวณค่าเสียหายข้าวจีทูจีเก๊ 4 สัญญายุคยิ่งลักษณ์
ในยุคยิ่งลักษณ์ ปล่อยให้มีการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยทุจริต 4 สัญญา ปริมาณข้าวรวม 6,439,000 ตัน
มีการส่งมอบข้าวตามสัญญาเป็นปริมาณ รวม 4,939,190 ตัน
คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 70,549,222,014.10 บาท
ทำสัญญาขายข้าวในราคาต่ำราคาข้าวในท้องตลาด
ราคาที่ตกลงซื้อขายเป็นราคาส่งมอบ ณ หน้าคลังสินค้า
วิธีคำนวณค่าเสียหาย โดยนํามูลค่าข้าวที่ตกลงขายตามสัญญา มาเปรียบเทียบกับมูลค่าข้าว ณ วันทำสัญญาผลต่างมูลค่าข้าวจะเป็นค่าเสียหาย
มูลค่าข้าวที่ตกลงขายตามสัญญา ได้แก่ ปริมาณที่ส่งมอบข้าวคูณด้วยราคาที่ตกลงขายตามสัญญา
มูลค่าข้าว ณ วันทำสัญญา ได้แก่ ปริมาณที่ส่งมอบข้าวคูณด้วยราคาตลาดภายในประเทศที่มีการซื้อขายกันโดยทั่วไป ณ วันทำสัญญา (กรณีข้าวปีการผลิตเก่าเป็นราคาหลังหักค่าเสื่อมสภาพข้าว)
ผลต่างเป็นค่าเสียหายเท่ากับจำนวน 20,014,284,133.16 บาท
สามารถแยกความเสียหายเป็นแต่ละสัญญาได้ ดังนี้
สัญญาฉบับที่ 1 ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กับ บริษัท กว่างตง จํากัด มูลค่าความเสียหายจำนวน 10,991,736,179.90 บาท (มูลค่าข้าวหลังหักค่าเสื่อมสภาพข้าวบาท 29,199,892,766.26 – มูลค่าตามสัญญา 18,208,156,586.36)
สัญญาฉบับที่ 2 ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กับบริษัท กว่างตง จํากัด มูลค่าความเสียหายจำนวน 2,135,632,483.87 (มูลค่าข้าวหลักหักค่าเสื่อมสภาพข้าว 31,123,744,136.75 – มูลค่าตามสัญญา 28,988,111,652.88 บาท)
สัญญาฉบับที่ 3 ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กับบริษัท กว่างตง จํากัด มูลค่าความเสียหายจำนวน 6,687,419,994.09 บาท (มูลค่าข้าวหลังหักค่าเสื่อมสภาพข้าว 29,193,285,363.25 บาท – มูลค่าตามสัญญา 22,505,865,369.16 บาท)
สัญญาฉบับที่ 4 ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กับบริษัท ห่ายหนาน จํากัด มูลค่าความเสียหายจำนวน 199,495,495.30 บาท (มูลค่าข้าวหลังหักค่าเสื่อมสภาพข้าว 1,046,583,901 บาท – มูลค่าตามสัญญา 847,088,405.70 บาท)
นอกจากนี้ ยังมีความเสียหายจากการชําระราคาข้าวตามสัญญาน้อยกว่ามูลค่าข้าวที่มีการรับมอบจริง
โดยพิจารณาจากมูลค่าที่มีการชําระราคาตามปริมาณข้าวที่รับมอบจริง นำมาหักออกจากมูลค่าที่ต้องชำระตามปริมาณข้าวแต่ละชนิด คูณด้วยราคาของแต่ละชนิดข้าวที่ตกลงขายตามสัญญา คิดเป็นค่าเสียหายอีก 43,439,648.50 บาท
ดังนั้น เมื่อรวมความเสียหายตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท (20,014,284,133.16 บาท + 43,439,648.50 บาท)
ศาลปกครองสูงสุด ให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ รับผิดชอบเพียง 50% จึงคิดเป็นเงิน 10,028 ล้านบาท
จะเห็นว่า มีการพิจารณาอย่างละเอียด แยกส่วนชัดเจน ซึ่งความเสียหายส่วนนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับการช่วยชาวนาเลย การเรียกค่าสินไหมทดแทนคืนก็เพื่อปกป้องทวงคืนผลประโยชน์ของแผ่นดิน จะได้มีเงินกลับมาช่วยเหลือประชาชนต่อไป
5. ความเสียหายของจำนำข้าวทั้งโครงการมหาศาลกว่านั้น
โครงการจำนำข้าว ใช้เงินไปทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านล้านบาท
อนุปิดบัญชีโครงการ ณ 30 ก.ย. 2557 ระบุว่า โครงการจำนำข้าว ขาดทุนทางบัญชี 536,908 ล้านบาท (โดยคิดมูลค่าข้าวที่เก็บสต๊อกให้ด้วยแล้ว แม้ยังไม่ได้ขายออกไป) แต่ไม่ใช่ว่าขาดทุนแล้วต้องคิดค่าเสียหายทั้งหมด
โครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีขั้นตอนสำคัญ 4 ขั้นตอน ประกอบไปด้วย ขั้นตอนที่ 1 การตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ขั้นตอนที่ 2 การนําข้าวไปจำนำและเก็บรักษาข้าวเปลือก ขั้นตอนที่ 3 การสีแปรสภาพข้าวเปลือกและเก็บรักษาข้าวสาร ขั้นตอนที่ 4 การระบายข้าว
รายงานผลการสอบสวนที่กระทรวงการคลังแต่งตั้งขึ้น ได้สรุปข้อมูลค่าเสียหายจากโครงการจำนำข้าว
ระบุว่า ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2555 รวมเป็นเงินจำนวน
ทั้งสิ้น 115,341,939,848.81 บาท
ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต2555/56 และปีการผลิต 2556/57 รวมจำนวนทั้งสิ้น 178,586,365,141.17 บาท
รวมค่าเสียหายจำนวน 286,639,648,201.45 บาท
แต่คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง มีความเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ในฐานะนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธาน กขช. อาจยังไม่อาจทราบได้อย่างแน่ชัดถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2555 รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 115,341,939,848.81 บาท
สำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 ซึ่งเกิดความเสียหายรวมจำนวนทั้งสิ้น 178,586,365,141.17 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ย่อมเห็นได้ว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวมีความเสียหายเกิดขึ้นชัดเจนแล้ว แต่กลับเพิกเฉย ละเลย ปล่อยให้มีการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป และกำหนดเป้าหมายการรับจำนำไม่จํากัดปริมาณข้าวเปลือกและราคาสูงกว่าตลาด ส่งผลให้มีปัญหาการระบายข้าวไม่ทัน ต้องเก็บรักษาข้าวในคลังเป็นเวลานานจนข้าวเสื่อมคุณภาพและสูญเสียน้ำหนัก
มีการตั้งกระทู้ถามเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2555 เรื่อง ปัญหาที่เกษตรกรถูกโกงความชื้น และมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจผู้ฟ้องคดีที่ 1 โดยอภิปรายและมีข้อสังเกตหลายประการว่า การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐมีการกระทำการทุจริตเกิดขึ้น แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กลับเพิกเฉยไม่สั่งการให้ตรวจสอบหรือดำเนินการใดๆ ตามอำนาจหน้าที่และในภาวะวิสัยที่ควรจะกระทำภายใต้กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
ถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จงใจกระทำละเมิด เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) ได้รับความเสียหายจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 เป็นเงิน 178,586,365,141.17 บาท จึงให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในส่วนการกระทำของตนในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหาย คิดเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุด ไม่เห็นพ้องกับแนวทางเรียกค่าสินไหมทดแทนแบบคิดจากค่าเสียหายจำนำข้าวทั้งโครงการข้างต้น จึงได้พิพากษาให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ร่วมชดใช้เฉพาะค่าเสียหายจากการขายข้าวจีทูจีเก๊ 4 สัญญาในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เท่านั้น
6. คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ถือเป็นที่สุดแล้ว
ชัดเจน ละเอียด มีที่มาที่ไป เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของศาลปกครองสูงสุด ที่พิจารณาด้วยระบบไต่สวน สามารถแสวงหาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาเฉพาะข้อมูลจากผู้ร้องและผู้ถูกร้องเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้อง อาจร้องขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามกฎหมาย หากมีพยานหลักฐานใหม่ที่จะต้องมีน้ำหนักและเกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญแห่งคดี เช่น คดีโฮปเวลล์ เป็นต้น
ความจริง การที่ศาลระดับสูง จะพิพากษาแก้ หรือกลับคำพิพากษาของศาลล่าง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
ตอนที่ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ฝ่ายยิ่งลักษณะชนะคดี หน่วยงานรัฐก็ปฏิบัติตาม เพิกถอนการยึดอายัดทรัพย์ ฝ่ายยิ่งลักษณ์ก็เคารพศาล น้อมรับคำตัดสิน
เมื่อศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้ ฝ่ายยิ่งลักษณ์ เสียประโยชน์ ทุกฝ่ายก็ควรน้อมรับเช่นกัน
อดีตนายกฯ ควรชำระค่าสินไหมทดแทน ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ประเทศชาติจะได้เงินกลับคืนมาใช้หนี้ ธ.ก.ส.ซึ่งโครงการจำนำข้าวยังค้างอยู่กว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อจะได้มีเงินไปช่วยชาวนาต่อไปด้วย
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี