กรณีกรุงเทพมหานคร จ่ายหนี้ก้อนโต 2.3 หมื่นล้านบาท ให้แก่เอกชน บีทีเอส
เรื่องนี้ มีผลดีอย่างไร และยังมีความเสี่ยงอะไรเหลืออยู่อีก?
1. กทม.ได้แจกแจงผ่านหน้าแฟนเพจของกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยเรื่อง “เปิดข้อดี ปลดหนี้ BTS คนกรุงเทพฯ ได้อะไร เมื่อ กทม. จ่ายหนี้ 2.3 หมื่นล้าน?”
ระบุว่า
1.1 ทำไม กทม. ต้องจ่ายหนี้ หนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
หนี้ค่าติดตั้งระบบรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยาย 2 จุด ที่เกิดจากการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เมื่อปี พ.ศ. 2560
ส่วนต่อขยายที่ 1 อ่อนนุช-แบริ่ง, สะพานตากสิน-บางหว้า
ส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่ง-สมุทรปราการ, หมอชิต-คูคต
1.2 ผลดีของการจ่ายหนี้ 2.3 หมื่นล้านบาท ต่อการพัฒนาการคมนาคมกรุงเทพฯ?
กรุงเทพมหานครได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในระบบไฟฟ้าเครื่องกล (E&M) อย่างถูกต้อง ไม่เกิดปัญหาการโต้แย้งความเป็นเจ้าของกับเอกชน
ลดความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องและการคิดดอกเบี้ยผิดนัด เช่นเดียวกับค่าจ้างเดินรถ(O&M)
กรุงเทพมหานครจะมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นในการจัดการเดินรถเนื่องจากเป็นเจ้าของทรัพย์สิน
ลดภาระค่าดอกเบี้ยในการจัดหา ตามสัญญาจ้างติดตั้งระบบเดินรถซึ่งมีค่าดอกเบี้ยประมาณวันละ 3 ล้านบาท
1.3 การจ่ายหนี้มีผลต่อการปรับลดค่าโดยสารหรือไม่?
การจ่ายหนี้ดังกล่าวเป็นค่าจ้างงานติดตั้งระบบเดินรถ “ไม่มีผลต่อค่าโดยสารในปัจจุบัน” เนื่องจากเป็นเงินที่ค้างชำระตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560
เมื่อจ่ายหนี้ครบแล้ว กทม. จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและไม่ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย ผิดนัดอีกในอนาคต
หากต้องมีการทำสัมปทานใหม่ กทม. จะมีอำนาจในการเจรจาต่อรองอัตราค่าโดยสารกับผู้รับสัมปทานได้
“ยืนยันว่า การชำระหนี้ 2.3 หมื่นล้านบาท เป็นการปลดล็อกศักยภาพของโครงข่ายขนส่งสาธารณะ ทั้งยังช่วยให้ กทม. มีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการจัดการเดินรถ และการพัฒนาโครงการอื่นๆ เพื่อให้กรุงเทพฯ มุ่งสู่เมืองที่ระบบขนส่งมวลชนมีประสิทธิภาพ เพื่อความสะดวกสบายของชาวกรุงเทพฯ ทุกคน”
2. ข้อมูลชี้แจงจาก กทม.ข้างต้น เป็นความจริง
เพราะเงินจ่าย 2.3 หมื่นล้านบาท ก็คือค่าจ้างทำงาน เหมือนโครงการของรัฐทั่วไป อาทิ สร้างสะพาน สร้านถนน ขุดบ่อ ฯลฯ
เมื่อเอกชนที่รับจ้างทำเสร็จ เรียบร้อย ส่งมอบ ใช้งานได้จริง ก็ต้องจ่ายเงินตามสัญญา
กรณีนี้ คือ ค่าระบบไฟฟ้าเครื่องกล (E&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ได้แก่ ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบไฟฟ้า ฯลฯ ที่จะทำให้ขบวนรถไฟฟ้าวิ่งไปตามราง ให้บริการได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งปรากฏชัดเจนว่า ฝ่ายเอกชน คือ บีทีเอส ได้ดำเนินการให้แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยสมบูรณ์ จนกระทั่งรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนขยายสามารถวิ่งได้อย่างเรียบร้อยมาหลายปีดีดักนั่นเอง
และถ้าจ่ายล่าช้าเนิ่นนานออกไป ก็ยิ่งจะมีค่าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
3. อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ กทม.ระบุว่า “การชำระหนี้ 2.3 หมื่นล้านบาท เป็นการปลดล็อกศักยภาพของโครงข่ายขนส่งสาธารณะ ทั้งยังช่วยให้ กทม. มีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการจัดการเดินรถ”
ประเด็นนี้ ยังเป็นจริงครึ่งเดียว !!!
เพราะอะไร ?
ปัจจุบัน กทม.สามารถกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว เพราะเป็นการจ้างเอกชนเดินรถ
และหาก กทม.สามารถเคลียร์หนี้สินทั้งหมดแก่เอกชนคู่สัญญาได้ เมื่อถึงปี 2572 สายสีเขียวตรงไข่แดงกลางเมืองหมดอายุสัมปทานลง กทม.ก็จะสามารถกำหนดค่าโดยสารได้เอง ส่วนเอกชนทำหน้าที่รับจ้างเดินรถ (เหมือนสายสีเขียวส่วนต่อขยาย)
เท่ากับว่า กทม.จะสามารถกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวได้ทั้งหมดตลอดสาย
คราวนี้ จะคิดแค่ 20 บาทตลอดสาย ก็จะทำได้ (เพียงแต่คำนึงถึงค่าจ้างเดินรถและค่าบำรุงรักษาเอาเอง)
ส่วนบีทีเอสมีสัญญารับจ้างเดินรถสายสีเขียวถึงปี 2585 ก็จะเป็นผู้รับจ้างเดินรถเท่านั้น ไม่ใช้คนกำหนดค่าโดยสาร
แต่... แต่... แต่...
ขณะนี้ กทม.ยังมีภาระหนี้สายสีเขียวอีกก้อนใหญ่ที่ยังไม่มีการชำระ
คือ หนี้ค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย
หรือที่เรียกว่า ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M)
บีทีเอสเดินรถตามสัญญาจ้างเดินรถอยู่ทุกวันๆ โดยที่ภาครัฐยังไม่จ่ายเงินค่าเดินรถให้เอกชนตามสัญญา
หนี้ก้อนนี้ จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาการเดินรถตามสัญญา และยังมีดอกเบี้ยอีกต่างหาก
ปัจจุบัน หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
มูลหนี้ ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ศาลปกครองพิพากษาให้กรุงเทพมหานครจ่ายหนี้ให้กับ BTSC จำนวน 11,755 ล้านบาท (รอศาลปกครองสูงสุด)
ส่วนที่ 2 ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ตามที่ BTS ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพิ่มอีกประมาณ 11,068 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2565 (ตามระยะเวลาเดินรถ ที่ยังไม่ได้ค่าจ้าง)
และส่วนที่ 3 ยังมีส่วนที่บีทีเอสยังไม่ได้ยื่นคำฟ้องราว 1 หมื่นล้านบาท (ตามระยะเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ แล้วยังไม่จ่ายค่าเดินรถ)
รวมแล้ว ค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังไม่ได้จ่าย น่าจะอยู่ราวๆ 3 หมื่นล้านบาทกว่าๆ (ยังไม่รวมดอกเบี้ย)
หนี้ส่วนนี้ ถ้ายังไม่สามารถเคลียร์ให้จบก่อนหมดสัมปทานปี 2572 ก็คงไม่พ้นจะต้องเจรจาต่อรอง พูดคุยกับเอกชนคู่สัญญา
จะชำระอย่างไร? เมื่อไหร่? จะเอาเงินจากไหนมาชำระทั้งหมด?
รัฐบาลจะช่วยจ่ายด้วยหรือไม่? เพราะถ้าจ่ายหมด ภาครัฐก็จะได้กำหนดอัตราค่าโดยสารเองตามที่วาดจินตนาการไว้
หรือจะเจรจาต่อรอง แลกกับการขยายสัมปทาน ให้สมเหตุสมผลกับมูลหนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน หรือไม่?
ทั้งหมด อยู่ในอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของ กทม.และนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน
สุดท้าย มหากาพย์สายสีเขียว จะจบหรือไม่จบ?
ถ้าจ่ายครบ ก็จบแน่
แต่ถ้าจ่ายไม่ครบ ก็ยังไม่จบแน่ๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี