ชาติไทยเรานั้นได้มีการค้าขายกับต่างชาติมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ในสมัยอาณาจักรสุโขทัยก็ได้ทำการค้ากับชนชาติจีน การค้าขายของชาติไทยกับต่างชาตินั้นเฟื่องฟูมากในสมัยอาณาจักรอยุธยา โดยมีการค้าขายกับชาติโปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส สเปน ญี่ปุ่น เปอร์เซีย อย่างมากมายในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนอาจจะกล่าวได้ว่าอาณาจักรอยุธยาเป็นศูนย์รวมของการค้าขายที่สำคัญที่สุดในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนทำให้ดินแดนไทยนี้ได้ชื่อว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งก็แปลว่าแผ่นดินทองนั่นเอง การค้าขายเริ่มมาซบเซาในช่วงปลายสมัยอยุธยา แต่ก็กลับมาฟื้นฟูอีกครั้งหนึ่งในสมัยกรุงธนบุรี โดยมีบางกอกเป็นท่าเรือแห่งใหม่
ในตอนต้นอาณาจักรรัตนโกสินทร์ การค้าขายกับต่างชาติของไทยก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง และถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นมากเนื่องจากมีความอับเฉาทางเศรษฐกิจ ทำให้รายได้ของบ้านเมืองไม่ค่อยจะพอเพียงเมื่อเทียบกับรายจ่าย แต่ก็ต้องถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งของชาติไทย ที่มีบุคคลพระองค์หนึ่งซึ่งในที่สุดได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ บุคคลพระองค์นั้นคือพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขึ้นเป็นรัชกาลที่ ๓ ซึ่งต้องยอมรับว่าพระองค์เป็นพ่อค้าที่ทรงมีความสามารถมากที่สุดในยุคนั้น
พระองค์ได้รับมอบหมายจากพระราชบิดาให้กำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมพระตำรวจ จึงได้ทรงค้าสำเภาด้วยสำเภาหลวง และสำเภาของพระองค์เอง และยังชักชวนเจ้านายกับขุนนางต่างๆ ให้ค้าสำเภาด้วย โดยในปีพุทธศักราช ๒๓๖๔ มีเรือสำเภาค้าขายกับจีนถึง ๘๒ ลำ และที่ค้าขายกับชาติอื่นๆ อีก ๕๐ ลำ พระองค์ทรงนำกำไรที่ได้จากการค้าทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เพื่อทรงใช้สอยในราชการแผ่นดิน จนพระราชบิดา เรียกขานพระนามของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นี้ว่า เจ้าสัว และพระองค์ได้ทรงนำเงินที่หลังจากถวายให้ทรงใช้ในราชการและทำบุญกุศลต่างๆ แล้ว เก็บรักษาไว้เอง โดยใส่ไว้ในถุงแดง พระองค์ได้ทรงทำการค้าตลอดมาจนกระทั่งขึ้นครองราชย์ เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
เงินในถุงแดงที่พระองค์ทรงเก็บรักษาไว้นั้นมีหลักฐานว่า เป็นเหรียญทองคำของเม็กซิโก โดยเหรียญด้านหนึ่งเป็นรูปนกอินทรีกางปีก ปากคาบอสรพิษ จึงเรียกว่าเหรียญนก เป็นเหรียญที่เป็นที่ยอมรับในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าในขณะนั้นโดย ๑ เหรียญมีมูลค่าประมาณ ๕ บาทไทย ซึ่งนับว่าเป็นมูลค่ามากพอสมควรในยุคนั้น โดยพระองค์ทรงเก็บเงินถุงแดงไว้เป็นจำนวนมาก นับเป็นจำนวนเหรียญได้มากกว่า ๘ แสนเหรียญหรือคิดเป็นน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ ๒๓ ตัน ซึ่งนับว่าเป็นมูลค่ามหาศาล โดยทรงเก็บไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม และต่อมาได้สร้างห้องเก็บอยู่ติดกับห้องบรรทม จึงเรียกเงินนี้ว่าเงินพระคลังข้างที่ และพระองค์ได้เคยมีพระราชดำรัสว่า ให้เอาเงินนี้ไว้ถ่ายบ้านถ่ายเมือง เหมือนกับจะได้ทรงพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายกับบ้านเมืองในภายภาคหน้าเป็นแน่แท้
ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๖ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ คือเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ที่ทำให้ไทยต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนมหาศาล โดยในครั้งนั้นฝรั่งเศสได้ยกกำลังทางเรือที่ถือว่ามีความแข็งแกร่งมาก เพื่อมาล่าอาณานิคมในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้รุกล้ำเข้ามาในน่านน้ำไทยด้วย จึงเกิดกรณีพิพาทและต่อสู้กับทัพเรือไทย ซึ่งทำให้ฝรั่งเศสต้องสูญเสียนายทหารและเรือรบเสียหาย จึงใช้กำลังที่มีมากกว่าเข้ามาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา และเรียกร้องเอาดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้เป็นของฝรั่งเศส รวมทั้งให้ไทยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๓ ล้านฟรังก์ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล ให้ไทยชำระภายใน ๔๘ ชั่วโมง ถ้าไม่เช่นนั้นจะให้ทัพเรือปิดปากอ่าวไทย และไทยอาจจะต้องตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ทรงเศร้าโศกเสียพระราชหฤทัยกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก แต่เนื่องจากกำลังของไทยที่มีอยู่ไม่อาจจะต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศสได้ จึงได้เจรจายินยอมที่จะเสียเงินค่าปรับดังกล่าว โดยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเงินถุงแดงที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้พระมหากษัตริย์พระองค์ต่อๆ มา แม้เงินถุงแดงจะมีเป็นจำนวนมาก แต่ยังขาดอยู่บ้างที่จะครบ ๓ ล้านฟรังก์ ทำให้ต้องมีการรวบรวมเพิ่มเติมจากเจ้านายชั้นพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนข้าราชการชั้นสูง ซึ่งรวมทั้งเงินทองเครื่องประดับและของมีค่าอื่นๆ ด้วย
กล่าวกันว่าเงินที่มอบให้ฝรั่งเศสซึ่งเป็นเหรียญทองคำเม็กซิโกนั้น มีรวมทั้งหมดถึง ๘๐๑,๒๗๒ เหรียญ ซึ่ง ๑ เหรียญเท่ากับ ๓.๒ ฟรังก์ น้ำหนักของเหรียญทั้งหมด รวมกันมากกว่า ๒๓ ตัน ต้องขนตลอดวัน บรรทุกใส่รถออกจากประตูต้นสนของ พระบรมมหาราชวัง ไปลงเรือที่ท่าราชวรดิษฐ์ โดยน้ำหนักของเงินเหรียญทำให้เกิดรอยสึกบนพื้นถนนทอดเป็นทางยาว
เงินถุงแดงจึงเป็นเงินที่ทำให้ชาติไทยรอดพ้นจากการเป็นอาณานิคม ไม่สูญเสียอิสรภาพให้กับฝรั่งเศส แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เศร้าโศกเสียพระราชหฤทัยและประชวรหนักอยู่เป็นระยะเวลานาน
ขณะนี้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้ออกมายืนยันจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่๒๓ เมษายน ที่ผ่านมานี้แล้วว่า ได้เห็นชอบในหลักการที่จะดำเนินโครงการแจกเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งยังไม่ใช่เงินจริง ให้กับประชาชนที่มีอายุ ๑๖ ปีขึ้นไป มีรายได้เดือนละไม่เกิน ๗๐,๐๐๐ บาท และมีเงินฝากในบัญชีธนาคารไม่เกิน๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยจะให้มีการลงทะเบียนในไตรมาสที่ ๓ นี้ ก็คือไม่เกินเดือนกันยายน และสามารถจะจ่ายเงินที่ไม่ใช่ตัวเงินจริงให้กับผู้มีสิทธิ์ตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมหรือไตรมาสที่ ๔ เป็นต้นไป เป็นการดำเนินการตามที่ได้เคยมีการหาเสียงไว้ก่อนการเลือกตั้ง โดยจะใช้เงินทั้งสิ้น ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยอ้างว่าประเทศชาติมีภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ และการแจกเงินดังกล่าวจะทำให้เกิดการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยจะเพิ่ม GDP ได้อีกประมาณ ๑.๖%
เรื่องการแจกเงินดิจิทัลนี้ ได้มีเสียงคัดค้านเกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้ได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่และประกาศว่าจะดำเนินโครงการนี้แล้ว ไม่ว่าจะจากนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงที่มีประสบการณ์ระดับชาติในการบริหารด้านการเงินการคลังมาก่อน และที่สำคัญยิ่งคือการแสดงความคิดเห็นอย่างกล้าหาญของผู้ว่าการธนาคารชาติ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งได้ยืนยันมาโดยตลอดว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต
ก่อนการประชุมของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาเรื่องการแจกเงินดิจิทัลในวันดังกล่าว ผู้ว่าการธนาคารชาติก็ได้ทำหนังสือฉบับหนึ่ง ลงวันที่ ๒๒ เมษายน เป็นการเสนอความเห็นเพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาว่า โครงการดังกล่าวควรจะดำเนินการหรือไม่อย่างไร โดยมีเนื้อหาสรุปจาก ๔ ประเด็นที่เสนอไปคือ
๑.ความจำเป็นในการดำเนินการและผลกระทบ โดยเสนอว่าควรจะแจกเงินให้เฉพาะกลุ่มเปราะบาง ที่มีรายได้น้อยหรือมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแค่ ๑๕ ล้านคน ซึ่งจะใช้เงินแค่ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาทเท่านั้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาระทางการคลังในระยะยาว ที่ประเทศอาจจะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเงินได้ เกิดความเสี่ยงต่อการมีงบประมาณไม่เพียงพอรองรับภาวะฉุกเฉิน รวมทั้งเงินจำนวนดังกล่าวหากนำไปใช้ลงทุนแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ จะเป็นประโยชน์มากกว่า เช่น การพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ การทำโครงการเรียนฟรี ๑๕ ปี การสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่เป็นต้น
๒.การใช้งบประมาณประจำปี และการนำเงินอื่นมาใช้ รัฐบาลจะต้องรับภาระชดเชยค่าใช้จ่าย หรือการสูญเสียรายได้ให้กับหน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องมีงบประมาณรองรับเต็มจำนวนกับโครงการแจกเงินให้ชัดเจนด้วย และการนำเงินจากธ.ก.ส. มาใช้ ที่อ้างว่าเป็นการยืม จะต้องมีความชัดเจน ถูกต้องทางกฎหมายว่าดำเนินการได้ และใช้กับกลุ่มประชากรอย่างถูกต้อง
๓.การพัฒนา application เพื่อใช้ในโครงการนี้ จะต้องมีประสิทธิภาพ มีเสถียรภาพและปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงใดๆ และไม่ควรจะซ้ำซ้อน กับระบบที่มีอยู่แล้ว ที่ควรจะถูกนำมาใช้
๔.การบริหารจัดการความเสี่ยง ต่อการรั่วไหลหรือทุจริต จะต้องมีการตรวจสอบอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการซื้อขายสินค้าจริงตามที่กำหนด และการป้องกันไม่ให้มีการขายสิทธิ์
ซึ่งเมื่อมีการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงแม้จะมีการรายงานว่าได้นำข้อเสนอดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจ แต่ก็ยังคงยืนยันว่าสิ่งที่จะดำเนินการนั้นดีแล้ว จะต้องกระทำต่อไป
เงินหลวงหรือเงินงบประมาณของชาติ ต้องถือว่าเป็นเงินของประชาชน เพราะเป็นเงินที่ได้มาจากการเก็บภาษีทุกประเภท การนำเงินนี้ไปใช้รัฐบาลต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่เกิดต่อชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่ให้เกิดประโยชน์เพียงแค่คะแนนเสียงหรือความนิยมชมชอบหรือตามสัญญาที่ว่าจะทำ และหากการแจกเงินครั้งนี้ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ประเมินไว้ หรือเกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของชาติ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ และกล้าที่จะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี