ประเด็นกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด กำลังทำให้ประเทศชาติเสียเวลา เสียโอกาส
หากเห็นการใช้กัญชาผิดวัตถุประสงค์ แทนที่จะเร่งออกกฎหมายควบคุมการใช้กัญชา แต่กลับจะถอยหลังเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด
ที่น่าเสียดาย คือ ในการนี้ รัฐบาลเศรษฐากำลังจับประชาชนหลายล้านคนเป็นตัวประกัน ประกอบด้วย ผู้ป่วยหลายแสนคน คลินิกกัญชา วิสาหกิจชาวบ้านที่ปลูกกัญชาถูกกฎหมาย ตลอดจนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
1. ล่าสุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งหมายดำเนินการให้มีการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ประกอบกับ ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำหนดนำกัญชากลับเข้ามาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนั้นตามขั้นตอนการดำเนินการเรื่องนี้ ต้องมีการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง 2 เรื่อง
ประกอบด้วย (1) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ “พืชกัญชา” เป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยยกเว้นบางส่วนของพืชกัญชา ได้แก่ ใบ กิ่งก้าน ราก ลำต้น เมล็ด และ (2) กฎกระทรวงที่เกี่ยวกับการอนุญาตการปลูก ครอบครอง นำเข้าส่งออก หรือการใช้กัญชา
รมว.สาธารณสุขยืนยันว่า เพื่อให้การจัดทำกฎหมายลำดับรอง ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและสอดคล้องเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงเห็นควรกำหนดเป้าหมาย และกรอบเนื้อหาของร่างกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง ที่จะได้ยกร่างขึ้นเสนอเพื่อดำเนินการต่อไป 3 ประการ คือ
“1.เจตนารมณ์ของการอนุญาตปลูก ครอบครอง นำเข้า ส่งออก หรือ เสพกัญชา ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การศึกษาวิจัย หรือ ประโยชน์อื่นๆ ในทำนองเดียวกันเท่านั้น
2.ระบบอนุญาตต้องไม่เป็นภาระกับประชาชนเกินสมควร โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาต ที่จะกำหนดในกฎกระทรวงการอนุญาตดังกล่าว เช่น การกำหนดคุณสมบัติของผู้ขออนุญาต การยื่นคำขอ ระยะเวลาที่ใช้ในการอนุญาต เกณฑ์หรือเงื่อนไขการพิจารณาอนุญาต หรือ การกำหนดเงื่อนไขการอนุญาตอื่นๆ ต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการอนุญาต ซึ่งต้องมีความชัดเจน ได้สัดส่วน โดยมีข้อกำหนดการปฏิบัติ หรือ ต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมายของประชาชนเท่าที่จำเป็น และน้อยที่สุดเพียงเพื่อป้องกันความเสี่ยง ไม่ให้มีการนำกัญชาไปใช้ในวัตถุประสงค์เพื่อสันทนาการเท่านั้น
และ 3.ประกาศกระทรวงและกฎกระทรวงที่จะเสนอ ควรต้องกำหนดวันใช้บังคับหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชน หรือ ผู้ที่เกี่ยวข้อง มีเวลาและมีโอกาสในการปรับเปลี่ยนธุรกิจ หรือ ดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นก่อนประกาศกระทรวงหรือกฎกระทรวงเหล่านั้นมีผลใช้บังคับด้วย” – รมว.สาธารณสุขกล่าว
2. นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต ในฐานะโฆษกกัญชา ยืนยันในประเด็นว่า กัญชาจะกลับเป็นยาเสพติด เฉพาะช่อดอกกัญชาใช่หรือไม่?
“ช่อดอกต้องมีกฎหมายควบคุมอยู่แล้ว แต่ในส่วนอื่นๆ เช่น กิ่ง ก้าน ใบ ลำต้น เมล็ดราก ต้องพิจารณา เพราะยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งกฎหมายที่จะออกมาจะตอบโจทย์3 เรื่องที่รมว.สาธารณสุขเน้นย้ำเสมอ คือ ทางการแพทย์ สุขภาพ และเศรษฐกิจ ไม่ใช่สันทนาการแน่นอน ทั้งนี้จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ”
3. เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ได้ออกแถลงการณ์ ประกาศนัดหมายชุมนุม 9 มิ.ย.นี้ ที่หน้าสำนักงานยูเอ็น เวลา 13.00 น. และเคลื่อนสู่ทำเนียบรัฐบาล
ยืนยัน เหตุผลความจำป็นของการชุมนุมทวงสิทธิกัญชาสู่มือประชาชน ระบุว่า
“1.ไม่มีใครปฏิเสธการควบคุมกัญชา แต่จะควบคุมโดยการใช้กฎหมายยาเสพติด หรือกฎหมายเฉพาะในระดับพระราชบัญญัติ จะต้องทำการวิเคราะห์เครื่องมือว่าเครื่องมือใดที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการใช้และการควบคุม รวมถึงรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในอนาคตได้
เมื่อเราใช้กฎหมายยาเสพติด เท่ากับพากัญชากลับไปขังคุกเพื่อให้คนเฉพาะกลุ่มปลูกได้และคนเฉพาะกลุ่มเหล่านั้นก็นำกัญชาไปผลิตแปรรูปเพื่อขายให้กับประชาชน
กระทรวงสาธารณสุขอ้างว่า จะใช้กัญชาทางการแพทย์ แต่เมื่อจัดให้กัญชาอยู่ในยาเสพติด จะทำให้ประชาชนซื้อกัญชาในราคาแพงที่ผลิตโดยบริษัทยา เพราะสามารถทำตามเงื่อนไขที่รัฐวางไว้ได้
ปรากฏการณ์ในประเทศอังกฤษ พบว่า กัญชาที่ถูกจ่ายโดยแพทย์ทำให้ประชาชนเข้าถึงไม่ได้
หากควบคุมกัญชาโดยกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ จะทำให้สามารถออกแบบกลไกเชิงระบบ ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ การแปรรูป และสามารถออกกติกาที่ยืดหยุ่นและรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
โดยเฉพาะมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค แต่เหตุที่รัฐไม่เลือกควบคุมโดย พ.ร.บ. ก็เพราะว่ากฎหมาย พ.ร.บ.เป็นกฎหมายที่สามารถกำหนดสิทธิให้กับประชาชน ไม่ผูกขาดกัญชาให้กับกลุ่มใด จึงไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ถืออำนาจรัฐที่มีหน้าที่กำหนดกติกาเอื้อนายทุนใหญ่
2.ขอให้ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยเป็นเงื่อนไขสำคัญในการกำหนดสถานะของพืชกัญชา โดยให้มีการจัดทำข้อมูลวิทยาศาสตร์จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย
2.1 ข้อมูลการเปรียบเทียบคุณลักษณะสามประการของ ระหว่างเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่และกัญชา
คุณลักษณะสามประการประกอบด้วย ข้อดีข้อเสียที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ข้อเสียที่เกิดขึ้นกับสังคมและคุณสมบัติในการรักษาโรคหรือบำรุงร่างกาย
หากพิจารณาเปรียบเทียบคุณสมบัติทั้งสามประการแล้ว พบว่ากัญชาร้ายแรงกว่าในทุกมิติให้นำกัญชากลับไปควบคุมโดยกฎหมายยาเสพติด
แต่หากคุณสมบัติทั้งสามประการไม่ได้ร้ายแรงไปกว่า ให้นำกัญชามาควบคุมโดยกฎหมาย พ.ร.บ.
2.2 ให้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาคประชาชนกับภาครัฐ เพื่อทำงานสำรวจวิจัยผลที่เกิดขึ้นหลังการปลดล็อกกัญชาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565
หากผลการวิจัยพบว่าช่วงสองปีที่ผ่านมากัญชาก่อความร้ายแรงกับสังคม ไม่ก่อประโยชน์ต่อสังคม ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสุขภาพ ก็ให้นำกัญชาไปควบคุมโดยกฎหมายยาเสพติด
แต่หากที่ผ่านมา กัญชาใช้รักษาโรคที่โรงพยาบาลรัฐปฏิเสธการรักษาจนหายขาด และโรคพื้นฐานอื่นที่ดำเนินการรักษากันอยู่ทั่วประเทศเป็นประโยชน์ต่อภาวะทางสุขภาพของประชาชนก็ให้นำกัญชากลับคืนสู่ประชาชนด้วยการควบคุมโดยกฎหมายระดับ พ.ร.บ.
จะควบคุมกัญชาในรูปแบบไหน ขอให้ข้อมูลที่เกิดจากการวิจัยเป็นคำตอบ
นับเป็นเรื่องแปลกของประเทศนี้ที่จะต้องให้ประชาชนลุกขึ้นบอกกับรัฐว่า จงใช้หลักการและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการกำหนดนโยบาย
ปรากฏการณ์กัญชาเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังเพลิดเพลินในอำนาจที่ได้มา เพื่อนำไปสู่การควบคุมผลประโยชน์ของประเทศครั้งใหม่ ให้กลับไปอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียวอีกครั้ง
เราไม่สามารถปล่อยให้ประเทศนี้กำหนดความเป็นไปโดยอำนาจความอยากของใครได้อีก การกำหนดนโยบายสาธารณะจะต้องยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง
ประชาชนในประเทศนี้สูญเสียมามากมายให้กับกลุ่มทุนใหญ่ ธุรกิจเบียร์ตกแก่สองตระกูลควบคุมมูลค่าหลายแสนล้านต่อปี
กัญชาเป็นพืชที่มีมูลค่านับแสนล้าน และเป็นสิ่งที่อยู่ในเป้าหมายการควบคุมของพวกเขา คนไทยสามารถใช้กัญชาได้แต่จะต้องซื้อจากกิจการของพวกเขาซึ่งควบคุมการปลูก การแปรรูปได้
ท้ายที่สุด ต้นไม้ต้นหนึ่ง พรรคเพื่อไทยยังจะปล้นไปจากประชาชน นี่คือนิสัยที่พรรคเพื่อไทยทำมาตลอด
เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย จึงขอประกาศการชุมนุมเพื่อให้สติกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่าแผ่นดินนี้เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของคนกลุ่มเดียว และเมื่อพรรคเพื่อไทยถืออำนาจรัฐจะต้องใช้อำนาจในทางถูกต้อง ด้วยการกำหนดสถานะกัญชาโดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หากพรรคเพื่อไทยยังยืนยันนำกัญชากลับสู่ยาเสพติด เราจะมาร่วมกันชุมนุมตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน เป็นต้นไป จนกว่ารัฐบาลจะยินยอมใช้กระบวนการที่ถูกต้องในการกำหนดอนาคตกัญชา
ในวาระการชุมนุมครั้งนี้จะถือโอกาสเปิดเผยธุรกิจของบริษัทยาที่มีกับกระทรวงสาธารณสุข ธุรกิจเหล้าเบียร์ที่กลไกรัฐไปรับใช้กลุ่มทุน และใครเป็นผู้ถือมูลค่าในธุรกิจกัญชาและได้ประโยชน์จากเกมการนำกัญชากลับสู่ยาเสพติด และเงื่อนงำอื่นใดที่ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยต้องการควบคุมกัญชา...”
4. ต้องมีการควบคุมกัญชา แต่จะควบคุมด้วยการโยนกลับไปเป็นยาเสพติด หรือออกกฎหมายมาควบคุมโดยเฉพาะ (เหมือนที่เคยพยายามทำ แต่ยังไม่สำเร็จในยุครัฐบาลที่แล้ว)
หากโยนกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เหมือนเตะหมูเข้าปากหมา เพราะปิดกั้น สร้างกำแพงการเข้าถึงด้านที่เป็นประโยชน์ของกัญชาไปอย่างน่าเสียดาย
ทำให้เสียเวลา เสียโอกาส แทนที่จะควบคุมด้วยกฎหมายเฉพาะ และเดินหน้าพัฒนาระบบกำกับดูแลการผลิต การใช้ การแปรรูป การขายสินค้าจากกัญชาให้ก้าวไปข้างหน้า กลับต้องถูกแช่แข็ง
เหมือนถูกจับเป็นตัวประกัน
ที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการคิดค้นการรักษาโรคได้หลากหลายจากสารสกัด CBD ที่มาจากกัญชา สามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ ก็มีการใช้ประโยชน์สร้างสรรค์มากมาย
CBD ย่อมาจาก Cannabidiol คือ สารสกัดอีกประเภทหนึ่งที่ได้จากกัญชา
มีสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น
บรรเทาอาการเจ็บปวดเรื้อรังและลดอาการคลื่นไส้หลังการทำเคมีบำบัดจากโรคมะเร็ง
บรรเทาอาการลมบ้าหมู
บรรเทาอาการของโรค ALS หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
บรรเทาอาการพาร์กินสัน (อาการสั่น)
ลดปัญหาสิวและอาการผิวแห้ง
บรรเทาอาการซึมเศร้า
ลดอาการเบื่ออาหารและน้ำหนักลดในผู้ติดเชื้อ HIV
บรรเทาอาการลงแดงจากสารเสพติดอื่น ๆ ฯลฯ
น้ำมัน CBD ก็คล้ายกับน้ำมันอโวคาโด น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันอัลมอนด์ สามารถใช้บำรุงผิวได้ เพราะมีกรดไขมันธรรมชาติที่ดีต่อผิว ช่วยลดความแห้งกร้าน เพราะมีกรดไขมันธรรมชาติที่ดีต่อผิว และยังสามารถใช้รักษาอาการโรคผิวหนังแห้งอย่างรุนแรงได้ด้วย
ปัจจุบัน มีการใช้พัฒนาสินค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งเครื่องสำอางยาสีฟัน ฯลฯ
อย่ามัวเสียเวลา เสียโอกาสเลย รีบออกกฎหมายควบคุม ดีกว่าจะเอากลับไปขังคุกเป็นยาเสพติด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี